IBM PC 5150 CPU: Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz RAM 16 KB ระบบปฏิบัติการ MS-DOS ควบคุมการเชื่อมต่อ/โต้ตอบกับผู้ใช้งานผ่านทางแป้นพิมพ์ แบบบรรทัดคำสั่ง (CLUI : Command Line User Interface)
ไม่ได้ใช้การควบคุมการเชื่อมต่อ/โต้ตอบแบบกราฟิก (GUI : Graphic User Interface) แบบหน้าจอสัมผัส (TUI : Touch screen User Interface) แบบควบคุมด้วยเสียง (VUI : Voice User Interface) หรือแบบใช้ท่าทาง (GbUI : Gesture-based User Interface) เหมือนในปัจจุบัน
ภาพฮาร์ดดิสก์ตัวแรกของโลก (IBM 350 Disk Storage Unit) ที่ออกจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ในปี 1956 (พ.ศ. 2499) วึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของระบบ IBM 305 RAMAC (Random Access Method of Accounting and Control)
อุปกรณ์นี้สามารถเก็บข้อมูลได้ 3.75 MB โดยใช้ดิสก์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 24 นิ้ว จำนวน 50 แผ่น โดยแต่ละแผ่นหมุนด้วยความเร็ว 1,200 รอบต่อนาที
ฮาร์ดดิสก์นี้มีขนาดใหญ่มาก มีน้ำหนักประมาณ 785 กิโลกกรัม และต้องใช้รถยกในการขนย้าย ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่ 750 ดอลลาร์ (ประมาณ 25,000 บาท)
ถือเป็นการลงทุนที่สูงในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม ฮาร์ดดิสก์นี้ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกการจัดเก็บข้อมูล ด้วยความสามารถแบบการเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่ม (Random Access) ไม่ได้ใช้การเข้าถึงข้อมูลแบบเรียงลำดับ (Sequnce Access) เฉกเช่นการใช้เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) หรือบัตรเจาะรู (Punch Card) ที่ช้ากว่ามาก
ขอบคุณผู้คิดค้นพุกพลาสติกคนแรกคือ อาร์ทูร์ ฟิชเชอร์ (Artur Fischer) เขาได้พัฒนาพุกพลาสติกชนิดแรก รูปทรงเป็นกระบอกกลวง ในปี 1958 (พ.ศ. 2501) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้การติดตั้งสิ่งของต่างๆ เข้ากับผนัง ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หลักการสำคัญคือ ใช้แรงดันจากการขยายตัว (Friction Locking) ของพลาสติกที่ยืดหยุ่น ครีบเล็ก ๆ ด้านนอกตัวพุกช่วยเพิ่มแรงเสียดทาน ครีบเหล่านี้จะยึดเกาะกับผิวผนังภายในรู ป้องกันไม่ให้พุกหมุนตามสกรูในขณะที่ขัน
โครงสร้างกระบอกกลวง ทำให้มีช่องว่างสำหรับสอดสกรูเข้าไป และเมื่อสกรูถูกขันเข้าไปในพุก มันจะดันให้ผนังพุกขยายตัวออก พุกจะถูกบีบและดันให้ขยายตัวออกไปติดกับผนังรู
แรงดันนี้ทำให้เกิดการยึดเกาะที่แข็งแรงและมั่นคงรอบทิศทาง ทำให้การรับน้ำหนักมีประสิทธิภาพ
ปี พ.ศ. 2486 เกรซ ฮ็อปเปอร์ (Grace Hopper) นามสกุลเดิม เมอร์เรย์ อายุ 37 ปี ปริญญาเอกคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเยล ได้สมัครเข้ากองทัพเรือสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูกกองทัพปฏิเสธหลายครั้ง ด้วยอายุเกินเกณฑ์สองปี และมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ 15 ปอนด์ นอกจากกฎเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว กองทัพเห็นว่า ผู้หญิงอาจไม่เหมาะกับเทคโนโลยีทางทหาร และไม่เชื่อว่าผู้หญิงจะทำได้
เกรซไม่ยอมแพ้ เธอพยายามเข้าสู่กองทัพผ่านโครงการ WAVES พวกเขามอบเครื่องแบบให้เธอ พร้อมภารกิจที่แทบเป็นไปไม่ได้
ปี 2487 เกรซ ฮ็อปเปอร์ ได้ทำงานกับคอมพิวเตอร์ยักษ์ Mark I กินพื้นที่ทั้งห้อง หนักกว่า 5 ตัน มีชิ้นส่วนกลไกถึง 750,000 ชิ้น และส่งเสียงดังเป็นจังหวะจากโลหะกระทบกัน ขณะคำนวณวิถีกระสุนปืนใหญ่ เธอไม่เพียงเรียนรู้ แต่ทำให้มัน “สื่อสารภาษาอังกฤษได้”
แนวคิดที่เปลี่ยนโลก
ในช่วงปี 1940–1950 การเขียนโปรแกรมหมายถึงการเขียนโค้ดด้วย ภาษาของเครื่อง ตัวเลข 0 และ 1 ยาวเหยียด ที่มนุษย์ต้องจำและทำความเข้าใจเหมือนเป็นคอมพิวเตอร์เอง
แต่เกรซมองว่านั่น “กลับหัวกลับหาง”
“ทำไมมนุษย์ต้องพูดภาษาคอมพิวเตอร์?”
“ทำไมเราไม่สอนคอมพิวเตอร์ให้เข้าใจภาษาของเรา?”
วงการคอมพิวเตอร์สมัยนั้นบอกเธอว่า เป็นไปไม่ได้
คอมพิวเตอร์เข้าใจได้แค่ตัวเลข ไม่เคยจะเข้าใจ “ภาษา” ของมนุษย์ได้เลย
เธอกำลังเสียเวลาเปล่า
ปี 1952 เกรซพิสูจน์ว่าพวกเขาคิดผิดทุกอย่าง
เธอประดิษฐ์ คอมไพเลอร์ (compiler) ตัวแรกของโลก ซอฟต์แวร์ที่ “แปลคำสั่งที่มนุษย์อ่านออก” ให้เป็นภาษาของเครื่อง เธอเรียกมันว่า A-0 System
“ไม่มีใครเชื่อฉันเลย” เธอเล่าย้อนหลัง
“ฉันมีคอมไพเลอร์ที่ใช้งานได้แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าแตะ เพราะพวกเขายืนยันว่าคอมพิวเตอร์ทำได้แค่คณิตศาสตร์”
แต่เธอยังเดินหน้าต่อ
และคอมไพเลอร์ของเธอกลายเป็นรากฐานของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า
ภาษาโปรแกรมที่ขับเคลื่อนโลก
ปลายทศวรรษ 1950 เกรซเป็นหัวหน้าทีมพัฒนา COBOL (Common Business-Oriented Language)
ภาษาที่ออกแบบมาให้คนทั่วไปอ่านเข้าใจได้ โดยใช้คำภาษาอังกฤษจริง เช่น
READ, WRITE, COMPUTE, ADD
ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ คนธุรกิจสามารถ “อ่านโปรแกรม” ได้เหมือนอ่านเอกสารทั่วไป
เหล่านักโปรแกรมมิ่งสายเทคนิคหัวเก่าเยาะเย้ย COBOL
มันง่ายเกินไป เหมือนภาษาอังกฤษเกินไป
“โปรแกรมเมอร์จริง ๆ ไม่ต้องการโค้ดที่อ่านง่าย”
แต่สุดท้าย COBOL กลายเป็นภาษาธุรกิจที่ใช้มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์
ทุกวันนี้ ในขณะที่คุณกำลังอ่านข้อความนี้ COBOL ยังคงประมวลผล:
95% ของธุรกรรมตู้ ATM
80% ของการรูดบัตรเครดิต/เดบิตแบบพบหน้า
ระบบจองตั๋วเครื่องบินส่วนใหญ่
ระบบบัตรเครดิตหลักทั่วโลก
ระบบเงินสวัสดิการ Social Security
และธุรกรรมทางการเงินระดับ หลายล้านล้านดอลลาร์ทุกวัน
โค้ดที่เกรซสร้างในปี 1950 ยังคงขับเคลื่อนโลกการเงินในปีปัจจุบัน
The Moth “บั๊กตัวแรกของโลกคอมพิวเตอร์”
ปี 1947 ระหว่างที่เกรซกำลังดีบั๊ก Mark II เครื่องเกิดขัดข้อง ทีมเปิดเครื่องออกมาและพบว่า
มอดตัวหนึ่งติดอยู่ในรีเลย์ #70
เธอแปะมอดนั้นลงในสมุดบันทึก พร้อมเขียนว่า
“กรณีแรกที่พบว่า บั๊ก ตัวจริงอยู่ในเครื่อง”
มอดตัวนั้นถูกจัดเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ Smithsonian จนถึงปัจจุบัน
แม้เธอจะไม่ได้เป็นคนคิดคำว่า “bug” แต่เรื่องนี้สะท้อนปรัชญาในการทำงานของเธอ
ค้นหาปัญหา แก้ไข บันทึก แล้วเดินหน้าต่อ
The Nanosecond เมื่อเธอทำเวลาหนึ่งในพันล้านวินาทีให้จับต้องได้
เกรซเป็นที่รู้จักจากวิธีสอนที่ทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย
เธอพกสายลวดยาว 11.8 นิ้ว ระยะทางที่แสงเดินทางได้ใน 1 นาโนวินาที เธอยื่นให้พลเรือเอกและผู้บัญชาการ พร้อมอธิบายว่า
“นี่คือระยะที่สัญญาณของคุณเดินทางได้ในหนึ่งนาโนวินาที
ตอนนี้คุณเข้าใจแล้วว่าทำไมการสื่อสารผ่านดาวเทียมถึงมีดีเลย์” จากนั้นเธอหยิบสายลวดขดใหญ่ยาวเกือบ 1,000 ฟุต ระยะของ 1 ไมโครวินาที
“นี่คือเหตุผลที่คุณไม่ควรเสียเวลา”
เธอทำสิ่งที่มองไม่เห็นให้มองเห็นได้
ทำสิ่งที่เข้าใจยากให้จับต้องได้
ทำวิทยาการคอมพิวเตอร์ให้คนธรรมดาเข้าใจได้ทันที
พลเรือเอกแห่งสหรัฐฯ
เกรซถูกเรียกตัวกลับจากการเกษียณหลายครั้ง เพราะกองทัพต้องการความเชี่ยวชาญของเธอ
เธอตอบตกลงทุกครั้ง
เธอเกษียณจริง ๆ ในปี 1986 ขณะอายุ 79 ปี
ในฐานะ พลเรือเอก Grace Hopper
เป็นนายทหารประจำการอาวุโสที่สุดในกองทัพเรือสหรัฐฯ ตอนนั้น
เธอได้รับ
– เหรียญ Defense Distinguished Service Medal
– ปริญญากิตติมศักดิ์กว่า 40 ฉบับ
– ได้รับเกียรติบรรจุใน National Women’s Hall of Fame
และในบทสัมภาษณ์สุดท้าย เธอยังคงสวมเครื่องแบบเรียบร้อย
พร้อมแจกสายลวด “หนึ่งนาโนวินาที”
“คุณไม่มีข้ออ้างที่จะช้าอีกแล้ว”
เธอยิ้มแล้วพูดเช่นนั้นเสมอ
ตำนานที่ไม่เคยตาย
เกรซ ฮ็อปเปอร์ เสียชีวิตวันที่ 1 มกราคม 1992 อายุ 85 ปี
กองทัพเรือตั้งชื่อเรือพิฆาตว่า USS Hopper (DDG-70) เพื่อเป็นเกียรติ
มหาวิทยาลัยเยลตั้งชื่อระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ตามเธอ
กูเกิลตั้งชื่ออาคารตามเธอ
ไมโครซอฟท์จัดงาน Grace Hopper Celebration งานรวมตัวผู้หญิงในสายเทคโนโลยีใหญ่ที่สุดในโลก
แต่ “มรดกที่แท้จริง” ของเธอนั้นอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน
ทุกครั้งที่คุณใช้คอมพิวเตอร์และมันเข้าใจสิ่งที่คุณสั่ง
คุณกำลังใช้วิสัยทัศน์ของเกรซ
ทุกครั้งที่คุณอ่านโค้ดที่มีความหมาย
คุณกำลังอ่านภาษาโปรแกรมที่เธอผลักดัน
ทุกครั้งที่คุณดีบั๊ก
คุณกำลังใช้กระบวนการที่เธอเป็นคนวางพื้นฐาน
เธอถูกบอกว่า
– คอมพิวเตอร์ซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้หญิง
– มนุษย์ไม่มีวันทำให้คอมพิวเตอร์เข้าใจภาษาอังกฤษได้
– เธอแก่เกินไปที่จะรับใช้ประเทศ
และเธอพิสูจน์ว่าทุกอย่างนั้น ผิดหมด
เกรซ ฮ็อปเปอร์ ไม่ได้แค่เขียนโปรแกรม
เธอ “เขียนอนาคต”
เธอพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีควรรับใช้มนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์รับใช้เทคโนโลยี
เธอแสดงให้เห็นว่าซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดคือซอฟต์แวร์ที่มนุษย์เข้าใจ
และอายุไม่ใช่อุปสรรคของผู้มีวิสัยทัศน์
พวกเขาเรียกเธอว่า “Amazing Grace”
แต่เธอพูดเสมอว่า
“เรียกฉันว่า Admiral”
ทุกครั้งที่คุณกด ATM ใช้บัตรเครดิต จองตั๋วเครื่องบิน หรือใช้คอมพิวเตอร์ที่พูดภาษาของคุณแทนเลขฐานสอง
คุณกำลังยืนอยู่บนรากฐานที่เธอสร้างไว้
Rear Admiral Grace Hopper (1906–1992)
ผู้หญิงที่สอนให้คอมพิวเตอร์พูดภาษาอังกฤษ และเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
“ประโยคอันตรายที่สุดในโลกคือ ‘เราทำแบบนี้มาตลอด’ ”
— Grace Hopper
เพราะเธอไม่เคยทำสิ่งใด “ตามแบบเดิม” และโลกทั้งใบจึงดีขึ้นเพราะเธอ
The Curiosity Curator
เจาะเวลาหาอดีต ถอดความ
วอลเตอร์ ฮันท์ ผู้คิดค้นและประดิษฐ์เข็มกลัด (เข็มซ่อนปลาย) ขึ้นในปี 1849 (พ.ศ. 2392) ปัจจุบัน เข็มกลัดยังคงมีลักษณะเหมือนตอนที่เขาเริ่มประดิษฐ์ขึ้นเกือบทุกประการ
น่าเศร้าที่ฮันท์ จำเป็นต้องชำระหนี้ตอนนั้น 15 ดอลลาร์ เขาจึงขายสิทธิบัตรไปในราคาเพียง 400 ดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่ารายได้มหาศาลที่ได้จากการประดิษฐ์ในภายหลังมาก โดยบริษัทอื่นๆ สร้างรายได้มหาศาลจากผลิตภัณฑ์นี้
เข็มกลัดนี้ ออกแบบเรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพมาก ด้วยลวดชิ้นเดียวพร้อมสปริงขด พร้อมตัวล็อกป้องกัน (ซ่อนปลายแหลมเพื่อความปลอดภัย)
นอกเหนือจากเข็มกลัดนี้แล้ว ฮันท์ยังได้พัฒนาจักรเย็บผ้า ปืนไรเฟิลแบบตีซ้ำ กระดิ่งรถราง และปืนไรเฟิลรุ่นก่อนอย่างวินเชสเตอร์ แม้ว่าความคิดสร้างสรรค์ของเขา จะมีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย แต่เขาแทบไม่ได้รับประโยชน์ จากสิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเลย แต่ตำนานของเขายังคงอยู่
ขอบคุณ1044 (พ.ศ. 1587): เข็มทิศ
การกล่าวถึงเข็มทิศแม่เหล็กครั้งแรก มาจากหนังสือภาษาจีน ที่ตีพิมพ์ในปี 1044 โดยอธิบายว่า ทหารหาทางได้อย่างไรโดยใช้เหล็กแม่เหล็กรูปปลา ที่ลอยอยู่ในชามน้ำ เมื่อท้องฟ้ามีเมฆมากเกินกว่าจะมองเห็นดวงดาว
1250–1300 (พ.ศ. 1793-1843): นาฬิกาจักรกล
นาฬิกาทรายและนาฬิกาน้ำ มีมานานหลายศตวรรษ แต่นาฬิกากลไกเรือนแรก เริ่มปรากฏในยุโรปในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 และถูกนำมาใช้ในมหาวิหาร เพื่อกำหนดเวลาที่จะประกอบพิธีต่างๆ
1455 (พ.ศ. 1998): การพิมพ์
โยฮันเนส กูเทนแบร์ก ได้ทำการพิมพ์พระคัมภีร์ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ในโลกตะวันตกโดยใช้แบบเคลื่อนที่ได้ แท่นพิมพ์ของกูเทนแบร์ก ถูกนำไปสู่การเผยแพร่ข้อมูลในยุโรป
1765 (พ.ศ. 2308): เครื่องจักรไอน้ำ
James Watt ปรับปรุงเครื่องจักรไอน้ำ Newcomen โดยการเพิ่มคอนเดนเซอร์ ที่เปลี่ยนไอน้ำกลับเป็นน้ำของเหลว คอนเดนเซอร์นี้ แยกออกจากกระบอกสูบที่ขยับลูกสูบ หมายความว่าเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น เครื่องจักรไอน้ำกลายเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
1804 (พ.ศ. 2347): ทางรถไฟ
Richard Trevithick วิศวกรชาวอังกฤษ ปรับปรุงเครื่องจักรไอน้ำของ James Watt และใช้มันเพื่อการขนส่ง เขาสร้างหัวรถจักรรถไฟแห่งแรกที่โรงงานเหล็กในเวลส์
1807 (พ.ศ. 2350): เรือกลไฟ
Robert Fulton นำเครื่องจักรไอน้ำ (เรือกลไฟ) ไปวางบนน้ำ ซึ่งในที่สุดก็ถูกเรียกว่า Clermont ใช้เวลา 32 ชั่วโมงในแม่น้ำฮัดสัน จากนิวยอร์กซิตี้ไปยังออลบานี
1826-27 (พ.ศ. 2369-70): การถ่ายภาพ
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1820 Nicéphore Niépce เริ่มสนใจการใช้สารละลายที่ไวต่อแสง เพื่อทำสำเนาภาพพิมพ์หินลงบนแก้ว สังกะสี และสุดท้ายก็ทำแผ่นพิวเตอร์ จากนั้นเขามีความคิดที่จะใช้วิธีแก้ปัญหาของเขา เพื่อทำสำเนาภาพในกล้อง obscura (กล่องที่มีรูเล็กๆ ที่ปลายด้านหนึ่ง เพื่อฉายภาพจากภายนอก) ในปี พ.ศ. 2369 หรือ พ.ศ. 2370 เขาถ่ายภาพลานบ้านของเขา เป็นเวลาแปดชั่วโมง ซึ่งเป็นภาพถ่ายแรกที่ผู้คนรู้จัก
1844 (พ.ศ. 2387): โทรเลข
ซามูเอล มอร์ส นักจิตรกรที่ประสบความสำเร็จ เขาเริ่มสนใจความเป็นไปได้เกี่ยวกับโทรเลขไฟฟ้าในช่วงปี 1830 เขาจดสิทธิบัตรเครื่องต้นแบบในปี พ.ศ. 2380 และ เขาได้ส่งข้อความแรก ผ่านสายโทรเลขทางไกลสายแรก ในปี พ.ศ. 2387 ซึ่งทอดยาวระหว่างวอชิงตัน ดี.ซี. และบัลติมอร์ ด้วยข้อความ: “สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ”
1876 (พ.ศ. 2419): โทรศัพท์
เมื่อสามารถส่งข้อมูลผ่านสาย ในรูปแบบของจุดและขีดกลางได้ ขั้นต่อไปคือการสื่อสารด้วยเสียงจริง
อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ส่งโทรศัพท์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2419 โดยเขาขอให้ผู้ช่วยทอม วัตสันมาหาเขาว่า “คุณวัตสัน—มานี่—ฉันอยากเจอคุณ”
1879 (พ.ศ. 2422): ไฟฟ้าแสงสว่าง
หลังจากการทดลองหลายพันครั้ง โทมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ได้สร้างหลอดไฟที่ทำจากเส้นใยคาร์บอน เพื่อการเผาไหม้เป็นเวลา 13 ชั่วโมงครึ่ง
เอดิสันและทีมงานในห้องปฏิบัติการของเขา กำลังทำงานให้กับบ้านและธุรกิจต่างๆ และในปี พ.ศ. 2425 บริษัท Edison Electric Illuminating Company ได้เปิดดำเนินการแห่งแรก
1885 (พ.ศ. 2428): รถยนต์
เครื่องยนต์สันดาปภายใน ได้รับการปรับปรุงให้เล็กลง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คาร์ล เบนซ์ใช้เครื่องยนต์สูบเดียว กับรถยนต์สมัยใหม่คันแรก ซึ่งเป็นรถสามล้อที่เขาขับไปรอบๆ สนามแข่ง อย่างไรก็ตาม รถยนต์คันดังกล่าวไม่ได้จำหน่ายในเชิงพาณิชย์ จนกระทั่งปี 1888 เมื่อเบอร์ธา ภรรยาของเขา ได้ใช้รถยนต์คันนี้ในการเดินทางไปพบแม่ของเธอ เป็นระยะทาง 64 ไมล์
1901 (พ.ศ. 2444): วิทยุ
Guglielmo Marconi ทดลองวิทยุ มาตั้งแต่ปี 1894 และส่งสัญญาณในระยะทางที่ไกลขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 1901 เขาได้ทำให้โลกตื่นเต้น กับการถ่ายทอดรหัสมอร์สตัวอักษร S ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก จากคอร์นวอลล์ไปยังนิวฟันด์แลนด์
1903 (พ.ศ. 2446): เครื่องบิน
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ออร์วิลล์ ไรท์ ทำการบินครั้งแรก ที่ความสูง 120 ฟุต ใกล้กับคิตตีฮอว์ก รัฐนอร์ทแคโรไลนา เขาและวิลเบอร์น้องชายของเขา ทำการบิน 4 เที่ยวในวันนั้น สุดท้ายวิลเบอร์บินได้สูงถึง 852 ฟุต
1927 (พ.ศ. 2470): โทรทัศน์
หลังจากการพัฒนาวิทยุ ได้มีการส่งภาพเป็นลำดับต่อไป โทรทัศน์ยุคแรกใช้ดิสก์เชิงกลในการสแกนภาพ ซึ่งระบบกลไกไม่สามารถสแกนและประกอบภาพหลายๆ ครั้งต่อวินาทีได้ จึงใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในปี 1922 Farnsworth วัย 16 ปี ได้วางแผนสำหรับระบบดังกล่าว จนกระทั่งปี 1927 เขาได้ส่งสัญญาณโทรทัศน์อิเล็กทรอนิกส์แบบเส้นแนวนอนเป็นครั้งแรก
1937 (พ.ศ. 2480): คอมพิวเตอร์
John Atanasoff นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ แห่งรัฐไอโอวา ได้ออกแบบคอมพิวเตอร์ดิจิทัลอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรก โดยใช้เลขฐานสอง ซึ่งตัวเลขทั้งหมดจะแสดงด้วยตัวเลข 0 และ 1 และข้อมูลถูกเก็บในตัวเก็บประจุ ในปี 1939 เขาและนักเรียนของเขาที่ Clifford Berry ได้สร้าง Atanasoff-Berry Computer (ABC) ขึ้น
1942 (พ.ศ. 2485): พลังงานนิวเคลียร์
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ใต้อัฒจันทร์ฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ทีมนักฟิสิกส์ นำโดยเอ็นริโก แฟร์มี ใช้ยูเรเนียมเพื่อผลิตปฏิกิริยาลูกโซ่ยั่งยืนในตัวเองครั้งแรก ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแมนฮัตตัน เพื่อสร้างระเบิดปรมาณูลูกแรก ที่ใช้ปฏิกิริยานิวเคลียร์
1947 (พ.ศ. 2490): ทรานซิสเตอร์
วันที่ 23 ธันวาคม 2 วิศวกรของ Bell Labs John Bardeen, Walter Brattain และ William Shockley ได้สาธิตการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก ชื่อ 'ทรานซิสเตอร์' (Transistor) ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นส่วนประกอบทางไฟฟ้าที่สามารถควบคุม ขยาย และสร้างกระแสไฟฟ้าได้
ทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็กและใช้พลังงานน้อยกว่าหลอดสุญญากาศมาก จึงถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กราคาถูก
1957 (พ.ศ. 2500): การบินอวกาศ
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม สหภาพโซเวียตปล่อย 'สปุตนิก 1' ดาวเทียมดวงแรก ซึ่งมีลักษณะทรงกลมโลหะขนาดเล็ก มีน้ำหนัก 83.6 กิโลกรัม (184.3 ปอนด์) ออกสู่อวกาศ ถือเป็นการเริ่มต้นการแข่งขันฉากใหม่ของสงครามเย็น ระหว่างสหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา
1974 (พ.ศ. 2517): คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่คอมพิวเตอร์มีขนาดมหึมา ได้มีการใช้ทรานซิสเตอร์จำนวนมากบนชิปเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้ คอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกคือ Altair จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วย Apple II, TRS-80 และ Commodore PET ในปี 1977
1974 (พ.ศ. 2517): อินเทอร์เน็ต
Vinton Cerf และ Robert Kahn ผลิต TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) อธิบายการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนเล็กๆ ที่เรียกว่าแพ็กเก็ต โดยแพ็กเก็ตเหล่านั้น สามารถส่งไปยังปลายทางที่ถูกต้องได้ TCP/IP จึงกลายเป็นพื้นฐานสำหรับการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต
2017 (พ.ศ. 2560): ปัญญาประดิษฐ์
AlphaGo โปรแกรมเกมปัญญาประดิษฐ์ โดย Go เป็นเกมที่มีกฎง่ายๆ โดย AlphaGo เอาชนะผู้เล่นที่เก่งอย่าง Lee Sedol 100–0 ด้วยการเรียนรู้ของเครื่อง ทำให้ AlphaGo เล่นเกมได้ดีกว่ามนุษย์ทุกคน
ขอบคุณ
อัตนัย
https://www.britannica.com/story/history-of-technology-timeline
ภาพแสดงการประชุม Solvay Conference ครั้งที่ 5 ในปี 1927 เป็นการรวมตัวของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกในยุคนั้น โดยเฉพาะในสาขาฟิสิกส์ควอนตัม และฟิสิกส์ทฤษฎี เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, นีลส์ บอร์, มารี กูรี, เออร์วิน ชเรอดิงเงอร์, และแวร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก เป็นต้น
การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของฟิสิกส์ควอนตัม โดยเฉพาะการถกเถียงเกี่ยวกับธรรมชาติของควอนตัม ระหว่างไอน์สไตน์ และบอร์
นอกจากนี้ ยังเป็นการรวมตัวของบุคคลที่ได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุดในภาพเดียว ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์
การประชุม Solvay Conference นี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในด้านฟิสิกส์ควอนตัม ซึ่งเป็นยุคที่แนวคิดดั้งเดิมของฟิสิกส์แบบนิวตัน เริ่มถูกท้าทายและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ผู้เข้าร่วมประชุมในภาพนี้ ล้วนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาฟิสิกส์ยุคใหม่ และบางคนเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดที่ปฏิวัติวงการ เช่น:
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein): นำเสนอความเห็นที่คัดค้านการตีความทางควอนตัมแบบโคเปนเฮเกน โดยเชื่อว่าธรรมชาติควรมีความแน่นอนมากกว่าที่ควอนตัมอธิบายไว้
นีลส์ บอร์ (Niels Bohr): หัวหน้าฝ่ายแนวคิดโคเปนเฮเกน ซึ่งอธิบายว่าควอนตัมเป็นเรื่องของความน่าจะเป็นและไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแน่นอน
มารี กูรี (Marie Curie): นักวิทยาศาสตร์หญิงผู้บุกเบิกการศึกษากัมมันตรังสี และเป็นผู้หญิงคนเดียวในภาพ
แวร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก (Werner Heisenberg): ผู้คิดค้นหลักความไม่แน่นอน (Uncertainty Principle)
หลุยส์ เดอ บรอยล์ (Louis de Broglie): ผู้เสนอแนวคิดเรื่องลักษณะคลื่นของอิเล็กตรอน
ในที่ประชุมมีการถกเถียงอย่างเข้มข้น เช่น การโต้เถียงระหว่างไอน์สไตน์ และบอร์เกี่ยวกับความหมายของกลศาสตร์ควอนตัม โดยไอน์สไตน์กล่าวว่า "พระเจ้าไม่เล่นลูกเต๋า" (God does not play dice) เพื่อวิจารณ์ความไม่แน่นอนในควอนตัม ขณะที่บอร์ตอบกลับว่า "อย่าบอกพระเจ้าว่าจะทำอะไร" (Do not tell God what to do)
ภาพนี้ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านทางวิทยาศาสตร์และปรัชญาในยุคนั้น ซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เรายังใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น คอมพิวเตอร์, เลเซอร์, และเทคโนโลยีควอนตัมอื่น ๆ
ขอบคุณน็อตหกเหลี่ยม (Hexagon Nut): เป็นน็อตที่พบได้บ่อยที่สุด มีหกด้าน
น็อตกรง (Cage Nut): ใช้ในตู้แร็คและตู้ต่างๆ ยึดเข้ากับรูสี่เหลี่ยม
น็อตหน้าแปลน (Flange Nut): มีหน้าแปลนกว้าง (ฐานวงกลม) ทำหน้าที่เหมือนแหวนรอง
น็อตเชื่อมหกเหลี่ยม (Hexagon Weld Nut): ออกแบบมาเพื่อเชื่อมติดกับวัตถุอื่น
น็อตล็อคตัวเองแบบเม็ดมีดไนลอน (Nylon Insert Self Lock Nut): มีเม็ดมีดไนลอนที่จับสลักเกลียวเพื่อป้องกันการคลาย
น็อตสี่เหลี่ยม (Square Nut): น็อตสี่ด้าน มักใช้ในงานรุ่นเก่า
น็อตปีกผีเสื้อ (Wing Nut): มี "ปีก" สำหรับขันด้วยมือ
น็อตตัวยู (U Nut): น็อตแบบหนีบที่พอดีกับขอบแผง
น็อตเคป (Kep Nut): มีแหวนรองแบบหมุนอิสระติดอยู่
น็อตตัวทีสำหรับช่อง (T-Nuts For Channels): ออกแบบมาเพื่อเลื่อนเข้าไปในช่องตัวที
น็อตกด (Push Nut): ตัวยึดแบบกดที่จับเพลา
น็อตพัล (Pal Nut): น็อตล็อคเกลียวเดี่ยว
น็อตปราสาท (Castle Nut): มีช่องสำหรับหมุดผ่าเพื่อป้องกันการคลาย
น็อตครอบ (Cap Nut): น็อตปลายปิดที่ครอบปลายสลักเกลียว
น็อตข้อต่อ (Coupling Nut): ใช้สำหรับต่อแท่งเกลียวสองอัน
น็อตล็อคบาง (Jam Nut): น็อตบางที่ใช้ล็อคน็อตอีกตัวให้อยู่กับที่
nut ในความหมายนี้ ภาษาไทยเรียกเพี้ยนเป็น “น็อต” และขยายความหมายไปถึง screw (สกูร) ที่มีลักษณะเป็นแท่งเกลียว เมื่อพูดถึง “น็อต” คนไทยจะนึกถึง screw มากกว่า nut ไปแล้วด้วยซ้ำ
ขอบคุณHenry Frank Phillips ชาวอเมริกัน ผู้คิดค้นไขควงปากแฉก (Crosshead / Philips-head) ในปี 2479 (ค.ศ. 1936) เป็นนวัตกรรมง่ายๆ ที่ทำให้การขันสกรูทำได้ง่ายขึ้น เพราะมันจะลงล็อกง่ายกว่าแบบปากแบน
ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า self-centering เวลาขันลงไปในรูลึกๆ สกรูปากแฉกจะลงล็อกได้ง่ายกว่า ขันง่ายกว่า
ก่อนจะมาเป็นสิทธิบัตรชิ้นนี้ Philips ได้แรงบันดาลใจจากไขควงปากแฉกอีกแบบของ John P. Thompson ที่คิดค้นขึ้นมาก่อน แต่ใช้งานยากกว่า เพราะรูลึกและแฉกบางกว่าจึงไม่ค่อยแข็งแรง
ใครเคยซื้อเครื่องจักรรุ่นเก่าๆ หรือรถยนต์โบราณมากจากฝั่งยุโรป จะพบว่าจะมีแต่สกรูปากแบนเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงเครื่องจักรโบราณจากเยอรมัน แผงวงจรระบบไฟฟ้ากำลัง จะเป็นสกรูแบบแบนทั้งสิ้น