อาหาร และเครื่องดื่ม

  • Plant-Based Eating

  • Plant-Based Eating

บทความและเรื่องราว เกี่ยวกับอาหาร

อาหารไทย ชื่อต่างประเทศ

กินหวาน มัน และเค็มเพียงใดไม่ให้ป่วย

อาหารที่เหมาะกับธาตุเจ้าเรือน

อาหารเพื่อสุขภาพ

มารยาทบนโต๊ะอาหาร

โกโก้ กับ ช็อกโกแลต และอัลไซเมอร์

ทั้งสองอย่างนี้ทำมาจากสิ่งเดียวกัน แต่ต่างกันที่กรรมวิธี ทั้งโกโก้และช็อกโกแลตนั้น ทำมาจากเมล็ดของต้นกาเกา (cacao) หรือตันโกโก้ ด้วยการนำเมล็ดในฝักมาแช่น้ำหมักไว้ จากนั้นนำไปล่อนเปลือก นำไปคั่ว และบดเป็นผง


หากนำผงที่ได้ไปใช้เลย จะเรียกว่า "ผงช็อกโกแลต" แต่หากนำไปผ่านกระบวนการสกัดเอาไขมันออกจนหมด (โกโก้บัตเตอร์) จะเรียกว่า "ผงโกโก้"


โกโก้ มีรสขมขื่นคอ บาดลิ้น ส่วนช็อกโกแลต มีความหอม มัน รสนุ่มละมุน เพราะยังมี

ไขมันโกโก้บัตเตอร์ปนอยู่ ด้วยเหตุนี้ โกโก้ จึงเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพกว่าช็อกโกแลต เพราะมีไขมันน้อยกว่า แม้จะไม่หอมมันเท่า


ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง ของรพ.ศิริราช ได้กล่าวถึง ...

• การรักษาสมองให้แจ่มใส

• ความจำยังคงดี แม้วัยจะสูงขึ้น

• ลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัลไซเมอร์


ด้วยการดื่มโกโก้ร้อน (โกโก้ 100%) แบบไม่ผสมน้ำตาล จิบตอนเช้าแทนกาแฟ

หากต้องการความอร่อย ให้อุ่นนมสดให้ร้อน แล้วใส่ผงโกโก้คนให้เข้ากัน ดื่มแล้วช่วยเรื่องความจำได้ดีขึ้น


วิธีชงโกโก้นมสดอย่างง่าย

  1. เทนมสดกล่อง ลงในแก้ว 3/4 ของกล่อง

  2. อุ่นใน microwave 50-60 วินาที ให้นมเดือด (ไม่ล้นแก้วเพราะใส่ 3/4 ของกล่อง)

  3. เติมโกโก้ 3-4 ช้อนชา ลงในนมที่อุ่น คนให้เข้ากัน

  4. เติมนมที่เหลือจากกล่องลงผสม คนให้เข้ากัน (ใช้นมไวตามิลค์เจ แทนนมสด สำหรับมังสวิรัติที่เคร่งครัด)

  5. ได้โกโก้นมสดอุ่นพร้อมดื่ม


สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับสมอง และความจำ ดังนี้

  1. หากจมูกใครเริ่มไม่ได้กลิ่น แม้ไม่เป็นหวัด ให้รีบพบแพทย์ เพราะอาจมีผลต่อสมองส่วนความจำในระยะต่อไป พึงทราบว่าอัลไซเมอร์เริ่มถามหาแล้ว

  2. เซลล์สมองพัฒนาเต็มที่ ถึงเพียงอายุ 2 ขวบ หลังจากนั้นเซลล์จะเริ่มตายมากกว่าเกิดใหม่ การเลี้ยงดูเด็กทารก จึงสำคัญมากในช่วง 2 ปีแรก

  3. ในอีกไม่กี่ปี อัลไซเมอร์จะเป็นโรคที่คนแก่เป็นมากที่สุด แซงหน้ามะเร็ง อย่าได้ประมาทกับโรคสมองเสื่อม

  4. อัลไซเมอร์ นอกจากมีผลต่อความจำแล้ว ยังส่งผลต่อความคิด การตัดสินใจ และอารมณ์ ในปัจจุบัน ผู้ที่อายุมากกว่า 60 มีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์ หรือสภาวะสมองเสื่อม เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

  5. การอดนอนมีผลต่อความจำ ผู้สูงวัยควรนอนให้เพียงพอ หากนอนน้อย จะมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์สูง ควรนอน 22.00~05.00 หรือ นอนถึง 06.00 น. (คืนละ 7~8 ชม. จะดีมาก)

  6. อาหารของสมองมี 2 ชนิด คือ กลูโคส และ ออกซิเจน

    • กลูโคสระดับต่ำกว่า 60 อาจตายได้ใน 6 ชม.

    • หากมากกว่า 120 เป็นเบาหวาน

    • น้ำตาลในเลือดของผู้สูงวัย อยู่ที่ 100-120

    • หากระดับน้ำตาลในเลือด มากกว่า 80 ไม่เกิน 110 ถือว่าโชคดี

    • ผู้สูงวัยทุกคนควรฝึกหายใจเข้า/ออกยาว ๆ บ่อย ๆ จะช่วยเติมออกซิเจน และไล่อากาศเก่าที่หมักหมมอยู่ในปอดออก สมองจะสดชื่น แจ่มใส อัลไซเมอร์ จะหนีห่าง

  1. ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษาคนที่เป็นอัลไซเมอร์ มีแต่เพียงวิธีป้องกัน ที่ช่วยลดความเสี่ยง ที่จะเป็นอัลไซเมอร์

  • ผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ต้องรักษาเบาหวาน ลดความดันโลหิต และเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เพียงพอ

  • คนทั่วไป ต้องฝึกสติ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกลม หรือมีกิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้สมองได้ทำงาน (ไม่ควรคิดเรื่องลงทุน สิ่งไม่เคยทำ และไม่ถนัด)

  1. โกโก้ เป็นอาหารที่ดีที่สุดของมนุษย์ เพราะ

    • มีสารต้านอนุมูลอิสระ

    • สารลดอัตราการตายของเซลล์

    • สารลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ฯ


มีงานวิจัยถึงประโยชน์ของโกโก้หลายผลงาน พบว่า การดื่มโกโก้ ในปริมาณที่เพียงพอ จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น (โดยเฉพาะบริเวณ anterior cingulate cortex) คุณหมอแนะนำให้ดื่มโกโก้ร้อนทุกเช้า โดยใช้ผงโกโก้ ไม่น้อยกว่า 2 ช้อนโต๊ะ หรือเติมน้ำผึ้ง เพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น


โกโก้ รสชาติไม่อร่อย แต่มีคุณค่ามหาศาล

โซดาทำให้แก่เร็ว

งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร FASEB แสดงให้เห็นว่า โซดา และอาหารผ่านกรรมวิธีทั้งหลาย มีระดับฟอสเฟตสูงเกินขีดจำกัด


นักวิจัยพบว่า ระดับฟอสเฟตที่สูงเกินขนาดนี้ มีส่วนในการเร่งกระบวนการแก่ชรา นอกจากนั้นยังมีส่วนในการเพิ่มโรคที่สัมพันธ์กับอายุ เช่น โรคไตเรื้อรัง และโรคกล้ามเนื้อและผิวหนังฝ่อลีบรุนแรง


งานวิจัยระบุว่า ‘ฟอสเฟตสูง’ พบในเครื่องดื่ม และอาหารผ่านกรรมวิธีหลายชนิด มีผลเร่งการแก่ชราของหนูทดลอง M. Shawkat Razzaque นักศึกษาแพทย์ระดับปริญญาเอก จากภาควิชาโรคติดเชื้อและภูมิคุ้มกันวิทยา กล่าวว่า เราควรทานอาหารที่มีประโยชน์ ที่มีระดับฟอตเฟตเหมาะสม จะช่วยให้เรามีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนขึ้น การหลีกเลี่ยงพิษจากฟอตเฟต จะช่วยให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้น


Razzaque และคณะค้นพบข้อมูลนี้ โดยทำการทดลองดูพิษจากฟอตเฟตในหนูสามกลุ่ม


หนูกลุ่มแรกใช้หนูที่ไม่มียีน klotho ทำให้หนูได้รับพิษจากฟอสเฟตแบบเต็มๆ หนูกลุ่มนี้มีอายุอยู่ได้เพียงแค่ 8-15 สัปดาห์เท่านั้น


หนูกลุ่มที่สอง เป็นหนูที่ไม่มียีน klotho และยีน NaPi2a การขาดยีนทั้งสองชนิดในเวลาเดียวกันจะส่งผลลดระดับฟอสเฟตในร่างกายลง ทำให้หนูกลุ่มนี้มีอายุยืนขึ้น คือสามารถอยู่ได้ถึง 20 สัปดาห์


หนูกลุ่มที่สาม มีลักษณะคล้ายกับหนูกลุ่มที่สอง คือ ขาดทั้งยีน klotho และยีน NaPi2a แตกต่างตรงที่ หนูกลุ่มที่สามนี้ ได้รับอาหารที่มีฟอตเฟตสูง


พบว่าหนูกลุ่มนี้ตายก่อนมีอายุ 15 สัปดาห์ ผลการทดลองทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ฟอสเฟตมีพิษกับหนู และน่าจะมีผลใกล้เคียงกันในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นรวมทั้งในคนเราด้วย


นายแพทย์ Gerald Weissmann บรรณาธิการวารสาร FASEB กล่าวว่า โซดาเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้คนทั่วโลกหลายล้านคนนิยมบริโภค โดยลืมนึกถึงพิษภัยจากฟอสเฟตที่ปนเปื้อนมาด้วย งานวิจัยนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่บอกเราว่า ความสมดุลของฟอสฟอรัสในร่างกาย มีอิทธิพลต่อกระบวนการแก่ชรา การบริโภคอาหารขยะพวกนี้ ก็เหมือนกับการเร่งร่างกายให้แก่เร็วขึ้น นั่นเอง


ชมรมแพทย์แผนไทย อ.แก่งกระจาน

บริโภคถั่วให้ได้ประโยชน์

พืชตระกูลถั่วมีหลากหลายชนิด การกินถั่วไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะถั่วเป็นอาหารที่ค่อนข้างย่อยยาก และหารบริโภคไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

“นิตยสารหมอชาวบ้าน” แนะนำ 8 ข้อ การกินถั่วให้ถูกวิธีและได้ประโยชน์ ดังนี้

  1. สำหรับผู้ที่พึ่งหัดกินถั่ว หรือไม่ได้กินถั่วเป็นประจำ ให้เริ่มกินแต่น้อยๆ เช่น สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จากนั้นจึงค่อยเพิ่มความถี่ให้มากขึ้น เพื่อให้ระบบย่อยอาหารของร่างกายปรับตัว

  2. ควรแช่เมล็ดถั่วในน้ำเปล่า เป็นเวลา 12 - 24 ชั่วโมง ก่อนนำไปปรุงอาหาร จะช่วยให้แป้งหรือ oligo-saccharide บางส่วนที่ย่อยยากนั้นสามารถย่อยได้มากขึ้น

  3. เลือกชนิดของถั่วที่กิน ทั้งนี้ ถั่วแต่ละชนิดทำให้เกิดแก๊สไม่เท่ากัน เช่น ถั่วขาวและถั่วเหลืองมีแก๊สมาก ถั่วดำ ถั่วแดง และถั่วเขียว มีแก๊สน้อยกว่า นอกจากนี้ “ถั่วเมล็ดแห้ง” ก็จะทำให้เกิดแก๊สในท้องได้มากกว่าถั่วสำเร็จรูปที่บรรจุกระป๋อง

  4. เคี้ยวให้ละเอียดให้มากที่สุด เพราะเอนไซม์ในน้ำลาย จะทำหน้าที่ช่วยย่อยแป้งได้ดี

  5. ในถั่วมีกรดไฟติก หรือไฟเทต ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด เช่น เหล็ก สังกะสี และแคลเซียม ดังนั้น จึงควรกินถั่วที่ปรุงสุกแล้ว ถั่วที่ผ่านการงอก หรือกระบวนการหมักมาแล้ว เพื่อลดปริมาณสารไฟเทต

  6. ปริมาณที่แนะนำในการกินถั่วคือ ครึ่งถ้วย หรือ 64 กรัม และควรกินให้ได้ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์

  7. เลือกถั่วที่ผลิตใหม่ๆ เมล็ดสมบูรณ์ ไม่ลีบ ไม่ฝ่อ หรือไม่มีการกัดแทะของแมลง โดยเฉพาะถั่วลิสงจะมีเชื้อรา “อะฟลาท็อกซิน” จะขึ้นได้ง่าย หากเมล็ดของถั่วมีการแตกหัก หรือมีความชื้นสูง ดังนั้น ไม่ควรซื้อถั่วเก็บไว้เป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อราหรือสร้างสารพิษอะฟลาท็อกซินได้

  8. ผู้มีปัญหาท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรืออาการไม่พึงประสงค์หลังกินถั่วเมล็ดแห้ง หากปฏิบัติตามข้อ 1, 2 และ 3 แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น อาจเลือกกินถั่วในรูปแบบที่ผ่านกระบวนการงอก หรือผ่านกระบวนการหมักมาแล้ว จะทำให้อาการดีขึ้น

นี่คือ 8 ข้อควรรู้ในการกิน “ถั่ว” ให้ถูกวิธี ไม่ว่าอาหารชนิดใด หากกินในปริมาณที่มากเกินไป หรือกินไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดผลเสียกับร่างกายได้ ดังนั้น จึงควรกินในปริมาณที่พอดี เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ

ประโยชน์ถั่วเขียว

36 ประโยชน์ของถั่วเขียว

  1. โพแทสเซียม ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อในร่างกายให้แข็งแรง

  2. มีสารต้านเอนไซม์โปรตีเอสในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง

  3. ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัด

  4. อุดมด้วยแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วยผลิตโปรตีน และการหดตัวข้องกล้ามเนื้อ

  5. ช่วยลดความดันโลหิต

  6. ช่วยทำให้เจริญอาหาร

  7. ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด ควบคุมน้ำหนักได้ ไขมันต่ำมาก ไม่มีคอเลสเตอรอล และยังอุดมไปด้วยโปรตีนกับเส้นใยอาหาร

  8. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

  9. มีฤทธิ์เย็น ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณของหัวใจและม้าม

  10. อุดมด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย

  11. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเบาหวานได้

  12. อุดมด้วยแคลเซียม และฟอสฟอรัส ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

  13. ช่วยขับร้อน แก้อาการร้อนใน และช่วยแก้พิษในฤดูร้อน

  14. มีประโยชน์ต่อลำคอ และผิวหนัง และยังช่วยแก้อาการกระหายน้ำได้อีกด้วย

  15. เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มกับเกลือ ใช้อมเพื่อรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้

  16. ช่วยถอนพิษในร่างกาย

  17. ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ถั่วเขียวเป็นแหล่งสำคัญของธาตุโบรอน (Boron) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง ทำให้ช่วยสมองทำงานได้ฉับไวมากขึ้น และยังอุดมไปด้วยฟอสฟอสรัส ที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาทและสมอง

  18. ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ตาสว่าง และรักษาตาอักเสบ (เปลือกสีเขียว) ช่วยแก้อาการตาพร่า ตาอักเสบ ด้วยการรับประทานถั่วเขียวต้มครั้งละ 15-20 กรัมเป็นประจำ

  19. ช่วยรักษาคางทูมที่เป็นใหม่ๆ ด้วยการต้มถั่วเขียว 70 กรัมจนใกล้สุก แล้วใส่แกนกะหล่ำปลีลงไป / หัวต้มอีก 15 นาที กินเฉพาะน้ำวันละ 2 ครั้ง

  20. ช่วยแก้อาการอาเจียนจากการดื่มเหล้า ด้วยการดื่มน้ำถั่วเขียวพอประมาณ

  21. ช่วยขับของเหลวในร่างกาย

  22. อุดมไปด้วยเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ดี จึงช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ

  23. อุดมด้วยวิตามิน B2 ที่ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกได้

  24. มีเส้นใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และยังส่งผลดีต่อระบบลำไส้โดยรวมด้วย

  25. เมล็ดถั่วเขียว นำมาต้มรับประทานใช้เป็นยาขับปัสสาวะ

  26. ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ

  27. ช่วยบำรุงตับ

  28. ช่วยแก้อาการไตอักเสบ

  29. ช่วยแก้ผดผื่นคัน

  30. ช่วยลดบวม

  31. ช่วยรักษาโรคข้อต่างๆ แก้ขัดข้อ

  32. ช่วยรักษาฝี ด้วยการใช้ถั่วเขียวดิบหรือต้มสุก นำมาใช้ตำแล้วพอกเป็นยารักษาภายนอกช่วยในการบ่มหนองให้ฝีกสุก และยังใช้รักษาอาการอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น แก้ท้องร่วง การคลอดบุตรยาก และโรคท้องมาน

  33. นำมาใช้ตำพอกแผล

  34. ช่วยแก้พิษจากพืช พิษจากสารหนู และพิษอื่นๆ

  35. อุดมไปด้วยวิตามินบี1 ที่ช่วยในการป้องกันโรคเหน็บชาได้เป็นอย่างดี

  36. อุดมไปด้วยโฟเลทสูง ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้

ข้อมูลจาก goo.gl/Bg1M9Q

ประโยชน์ น้ำส้มสายชู

11 ประโยชน์ จากน้ำส้มสายชู

    1. ลดไข้ : ผสมน้ำส้มสายชู 1 ส่วนกับน้ำเปล่า 2 ส่วน นำผ้าขนหนูมาชุบแล้วเช็ดตัวคนไข้

    2. แก้เจ็บคอ : นำใบสะระแหน่มาขยี้ผสมน้ำส้มสายชูแล้วอมไว้ หรือจะใช้น้ำมันสะระแหน่ผสมกับน้ำส้มสายชูก็ได้ ได้ผลดีกว่า

    3. แก้ฝ้า : ผสมน้ำส้มสายชู 1 ช้อนชากับไข่ขาวของไข่ไก่ 1 ฟอง ตีให้พอขึ้นฟอง นำมาพอกหน้าก่อนนอน

    4. ป้องกันผ้าสีตก : ผสมน้ำส้มสายชู 1 ถ้วยลงในน้ำแช่ผ้า แล้วแช่ผ้าไว้สัก 15 นาทีก่อนนำไปซักตามปกติ

    5. ช่วยให้น้ำยาทาเล็บติดทนนาน : จุ่มเล็บลงในน้ำส้มสายชูก่อนทาเล็บสัก 2-3 นาที หรือนำสำลีชุบน้ำส้มสายชูมาเช็ดถูตามเล็บก่อนทาก็ได้

    6. ขัดหม้ออะลูมิเนียม: ผสมน้ำส้มสายชู 1 - 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำเปล่าต้มให้เดือดประมาณ 30 นาที แล้วพักไว้ให้เย็นใช้ฝอยขัดหม้อขัดไปในทางเดียวกันจะทำให้คราบดำหลุดออกง่ายขึ้น

    7. ขจัดคราบตระกันก๊อกน้ำ : แช่สิ่งที่มีตระกันเกาะในนำส้มสายชู ทิ้งค้างคืนไว้ แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า

    8. ขัดพื้นไม้ : ผสมน้ำส้มสายชู น้ำมันลินซีด แอลกอฮอล์จุดไฟ ในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน ใช้ขัดพื้นไม้ได้เงางามดี

    9. แก้กุ้งมีกลิ่นคาว : ผสมน้ำส้มสายชู 1 - 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำเปล่า นำกุ้งลงแช่ประมาณ 15 นาที กุ้งจะขาวขึ้นและกลิ่นคาวหายไป

    10. ต้มผักให้กรอบ : ผสมน้ำส้มสายชู 1 - 2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำต้มผัก ผักจะกรอบและมีสีเขียวสดใส

    11. ต้มปลาไม่ให้เนื้อแตก : ผสมน้ำส้มสายชู 1 - 2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำต้มปลา เนื้อปลาจะไม่แตกจากกัน

www.greenshopcafe.com/greennews960.html

ลูกพลับมีประโยชน์ และข้อควรระวัง

  1. ลูกพลับเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่และไขมันต่ำ และยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร จึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก

  2. ลูกพลับมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ

  3. หากนำลูกพลับมาหมักให้เปรี้ยว 1 ปีขึ้นไปจะมีสรรพคุณทางยาสูงขึ้น ช่วยบำรุงร่างกายแก้อาการเหนื่อยล้า

  4. ลูกพลับ ประโยชน์ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ป้องกันต้อกระจก ตาฟาง

  5. ช่วยบำรุงลำไส้ บำรุงปอดและม้าม

  6. ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ

  7. ช่วยแก้หืดหอบ (ผลแห้ง)

  8. ช่วยลดความดันโลหิต

  9. ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจและปอดได้

  10. ช่วยแก้โรคปอดและกระเพาะอาหาร ซึ่งเกิดจากการสร้างพลังงานของปอดที่ลดลง ทำให้มีอาการไอ หายใจติดขัด เส้นผมหลุดร่วงหยาบกระด้าง หากเป็นติดต่อกันนานๆ ชีพจร กล้ามเนื้อและกระดูก จะสร้างสารผิดปกติในผนังกระเพาะอาหารได้

  11. ใช้เป็นยาบรรเทาอาการร้อนใน (ผลแห้ง)

  12. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ (ผลแห้ง)

  13. ส่วนกลีบเลี้ยงหรือก้านของผลลูกพลับสามารถนำมาทำเป็นยาเพื่อใช้แก้อาการสะอึกได้

  14. ช่วยบรรเทาอาการไข้เพ้อ หรือไข้ที่เกิดจากอาการโกรธสุดขีด

  15. สรรพคุณของลูกพลับ ช่วยแก้ไอ (ผลสด,ผลแห้ง)

  16. ลูกพลับ สรรพคุณช่วยขับเสมหะ (ผลแห้ง)

  17. ช่วยแก้พิษสุรา (ผลสด)

  18. ช่วยแก้อาการท้องเดิน (ผลสด)

  19. ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารและลำไส้ (ผลแห้ง)

  20. ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องซึ่งมีสาเหตุมาจากความเย็น เช่น ประจำเดือน ปวดบิด เป็นต้น

  21. ช่วยแก้อาการบิดในเด็กที่ถ่ายเป็นมูกเลือด

  22. ช่วยแก้อาการถ่ายเป็นเลือด

  23. ช่วยในการขับถ่าย แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง

  24. ช่วยแก้และบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร (ผลแห้ง)

  25. ช่วยแก้อาการปัสสาวะเป็นเลือด (ผลแห้ง)

  26. ช่วยแก้ต่อมไทรอยด์บวม (ผลดิบ)

  27. สรรพคุณลูกพลับ ช่วยห้ามเลือด (ผลสด)

  28. ช่วยลดผื่นจากไข้ หรือผื่นที่เกิดจากความร้อน

  29. ช่วยแก้พิษจากเหล้า ช่วยทำให้หายจากการอาเจียนเป็นเลือด

  30. ประโยชน์ของลูกพลับ มีส่วนช่วยลดฝ้ากระบนใบหน้า

  31. ประโยชน์ลูกพลับ นอกจากจะใช้รับประทานเป็นผลไม้สดแล้ว ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็น ลูกพลับแห้ง พลับเชื่อม น้ำลูกพลับ แยมลูกพลับ ฯลฯ

  32. ใบของลูกพลับสามารถนำมาทำเป็นชาไว้ชงดื่มได้ ด้วยการใช้ใบตากแห้งต้มกับน้ำเดือด ก็จะช่วยลดอาการแข็งตัวของหลอดเลือด แก้เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน ลดความดัน ช่วยระบาย แก้อาการนอนไม่หลับ เป็นต้น

  33. ไม้ของต้นพลับ สามารถนำมาใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้

  34. สำหรับชาวจีนแล้วผลไม้อย่างลูกพลับเป็นที่นิมยมในการรับประทานอย่างมาก และถือว่าลูกพลับเป็นผลไม้มงคลที่แสดงถึงความมั่งมีศรีสุข เนื่องจากเปลือกของลูกพลับเมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลืองทองราวกับทองคำ จึงเปรียบได้ดั่งผลไม้จากสรวงสวรรค์นั่นเอง และลูกพลับยังเป็นที่นิยมนำมาเป็นของขวัญตามเทศกาลต่างๆอีกด้วย นอกจากนี้การรับประทานลูกพลับวันละ 1 ผลจะมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก

คำแนะนำเพิ่มเติม

ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และอาจเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

กินดีมีคุณ

ความรู้เกี่ยวกับการกิน จากเภสัชกร

1. ควรหลีกเลี่ยงน้ำ RO (reverse osmosis)

เพราะสะอาดจนไม่มีแร่ธาตุอะไรเหลืออยู่เลย เมื่อดื่มเข้าไปร่างกายจะมีสภาวะเป็นกรด ทำให้ร่างกายต้องปรับสมดุล (balance) ด้วยการดึงแคลเซียมจากกระดูกออกมา มีผลทำให้กระดูกพรุน

2. ผู้ชาย ต้องการน้ำวันละ 4 ลิตร

ผู้หญิง วันละ 3 ลิตร หากไม่มีโรคประจำตัวที่ต้องจำกัดน้ำ ควรดื่มน้ำด้วยวิธีการจิบบ่อยๆ อย่าดื่มรวดเดียวครั้งละมากๆ ร่างกายดูดซึมไม่ทัน

3. อาหารทอดด้วยน้ำมันหมู

อันตรายน้อยกว่า น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันปาล์ม

4. กินไข่ วันละ 2 ฟอง

ไม่ทำให้ไขมันในเลือดสูง (ไขมันมาก/น้อย อยู่ที่วิธีการปรุงสุก)

5. ชาเขียวคุณภาพดี

สามารถดักจับสารพิษได้ดี

6. อาหารเสริมมีความจำเป็น

เพราะอาหารทั่วไปในปัจจุบัน มีสารพิษเยอะมาก ควรเลือกอาการที่เป็นธรรมชาติ (ไม่ใช่มาจากอุตสาหกรรม)

7. นมวัวเป็นพิษกับคนทุกคน

8. ผลิตภัณฑ์ Blackmore

คือสารเคมี และราคาสูง

9. ยาในแผงใสเท่านั้นที่แบ่งใส่กล่องได้

ส่วนยาในแผงทึบหรือแผงขุ่น ควรแกะออกจากแผงก่อนกิน ไม่เกิน 15 นาที เพราะแสงและความชื้น

จะทำลายตัวยา

10. คาร์บอนดีที่สุดสำหรับอาการท้องเสีย

แม้จะติดเชื้อก็ตาม กิน 3-4 เม็ด ทุก 3 ชม.

11. เมื่อเจ็บคอ อาจไม่ได้ติดเชื้อเสมอไป

อาจเป็นการอักเสบ กินวิตามิน C 1,000 mg. กับฟ้าทะลายโจร เช้า-เย็น ไม่เกิน 3 วันหาย (กรณีไม่ติดเชื้อ)

คลิปวิดีโอ เกี่ยวกับอาหาร

ขอขอบคุณผู้สร้างสรรค์คลิปวิดีโอเหล่านี้ จากสังคมออนไลน์

  • คำภีร์ไข่

  • สัญญาณเตือนดื่มน้ำไม่พอ

  • ประโยชน์ของกล้วย

  • อาหารหมดอายุ

  • อาหารช่วยบำรุงข้อเข่า