สมอง

  • 3 ภาพนี้ หมุนเหมือนกันและหมุนเหมือนเดิม แต่การทำงานของสมอง (ที่ปกติ) ทำให้เห็นทิศทางการหมุนภาพทั้งหมดต่างกัน

บทความ เกี่ยวกับสมอง

สมองของผู้สูงอายุ

สมองของผู้สูงอายุ


ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตันให้เหตุผลว่าสมองของผู้สูงอายุเป็นพลาสติกมากกว่าที่คิดกันทั่วไป ในวัยนี้ การทำงานร่วมกันของสมองซีกขวาและซีกซ้ายจะมีความกลมกลืนกัน ซึ่งขยายความเป็นไปได้ที่สร้างสรรค์ของเรา นั่นคือเหตุผลที่ในหมู่คนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี คุณจะพบบุคคลมากมายที่เพิ่งเริ่มกิจกรรมสร้างสรรค์ของพวกเขา


แน่นอนว่าสมองไม่ได้เร็วเหมือนในวัยเยาว์อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มันชนะในความยืดหยุ่น นั่นคือเหตุผลที่เมื่ออายุมากขึ้น เรามักจะตัดสินใจได้ถูกต้องและเปิดรับอารมณ์เชิงลบน้อยลง จุดสูงสุดของกิจกรรมทางปัญญาของมนุษย์เกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 70 ปี เมื่อสมองเริ่มทำงานอย่างเต็มกำลัง


เมื่อเวลาผ่านไป ปริมาณของไมอีลินในสมองจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสารที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ความสามารถทางปัญญาจึงเพิ่มขึ้น 300% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย


และจุดสูงสุดของการผลิตสารนี้อยู่ที่อายุ 60-80 ปี ที่น่าสนใจอีกอย่างคือหลังจาก 60 ปีบุคคลสามารถใช้ 2 ซีกในเวลาเดียวกัน นี้ช่วยให้คุณแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น


ศาสตราจารย์ Monchi Uri จากมหาวิทยาลัยมอนทรีออล เชื่อว่าสมองของผู้สูงอายุเลือกเส้นทางที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด โดยตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียงทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการแก้ปัญหา การศึกษาได้ดำเนินการโดยกลุ่มอายุต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วม คนหนุ่มสาวรู้สึกสับสนมากเมื่อผ่านการทดสอบ ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีตัดสินใจถูกต้อง


ทีนี้มาดูคุณสมบัติของสมองตอนอายุ 60-80 กัน พวกเขาเป็นสีดอกกุหลาบจริงๆ


คุณสมบัติของสมองของผู้สูงอายุ

  1. เซลล์ประสาทของสมองไม่ตายอย่างที่ทุกคนรอบตัวพูด การเชื่อมต่อระหว่างพวกเขาจะหายไปหากบุคคลไม่มีส่วนร่วมในงานทางจิต

  2. ขาดสติและหลงลืมเกิดขึ้นเนื่องจากมีข้อมูลมากเกินไป ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องจดจ่ออยู่กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่จำเป็นทั้งชีวิต

  3. เริ่มต้นเมื่ออายุ 60 ปี คนในการตัดสินใจ ไม่ได้ใช้ซีกโลกเดียวในเวลาเดียวกัน เหมือนคนหนุ่มสาว แต่ใช้ทั้งสองอย่าง

  4. สรุป: หากบุคคลมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี เคลื่อนไหว มีกิจกรรมทางกายที่เป็นไปได้และมีกิจกรรมทางจิตที่สมบูรณ์ ความสามารถทางปัญญาไม่ลดลงตามอายุ แต่จะเติบโตเท่านั้นถึงจุดสูงสุดเมื่ออายุ 80-90 ปี


ดังนั้น อย่ากลัวความชรา พยายามพัฒนาสติปัญญา เรียนรู้งานฝีมือใหม่ๆ ทำดนตรี เรียนรู้การเล่นเครื่องดนตรี วาดภาพ! เต้นรำ! สนใจในชีวิต พบปะและสื่อสารกับเพื่อนๆ วางแผนสำหรับอนาคต ท่องเที่ยวให้ดีที่สุด อย่าลืมไปร้านค้า ร้านกาแฟ คอนเสิร์ต อย่าขังตัวเองไว้คนเดียว - มันเป็นอันตรายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อยู่กับความคิด: ทุกสิ่งที่ดียังอยู่ข้างหน้าฉัน


การศึกษาขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาพบว่า:

  • อายุที่มีประสิทธิผลสูงสุดของบุคคลคือ 60 ถึง 70 ปี

  • ระยะที่ 2 ของมนุษย์ที่มีประสิทธิผลมากที่สุด คือ อายุระหว่าง 70 ถึง 80 ปี

  • ระยะที่ 3 ที่มีประสิทธิผลสูงสุด - อายุ 50 และ 60 ปี

  • ก่อนหน้านั้น บุคคลนั้นยังไม่ถึงจุดสูงสุด

  • อายุเฉลี่ยของผู้ได้รับรางวัลโนเบลคือ 62 ปี

  • อายุเฉลี่ยของประธาน 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ 63 ปี;

  • อายุเฉลี่ยของศิษยาภิบาลในโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุด100 แห่งในสหรัฐอเมริกาคือ 71 ปี;

  • อายุเฉลี่ยของพ่อคือ 76 ปี

  • นี่เป็นการยืนยันว่าปีที่ดีที่สุดและได้ผลดีที่สุดของบุคคลนั้นอยู่ระหว่าง 60 ถึง 80 ปี

  • การศึกษานี้เผยแพร่โดยทีมแพทย์และนักจิตวิทยาในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์

  • พวกเขาพบว่าเมื่ออายุ 60 ปี คุณมีศักยภาพสูงสุดด้านอารมณ์และจิตใจ และจะดำเนินต่อไปจนถึงอายุ 80 ปี

  • ดังนั้น หากคุณอายุ 60, 70 หรือ 80 ปี แสดงว่าคุณอยู่ในระดับที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณ


ที่มา: วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์

อ่านต้นฉบับ https://deemagclinic.com/2021/07/06/aging/

เส้นเลือดตีบในสมอง

เส้นเลือด "ตีบ" ในสมองเกิดขึ้นทุก 4 นาที ตรวจหาสาเหตุไม่เจอ แล้วจะมีวิธีป้องกันอย่างไร ?


ปัจจุบันมีคนป่วยเส้นเลือดตีบ ตั้งแต่อายุ 13-95 ปี ทุกวัน ในวงการแพทย์สหรัฐรายงานว่า เป็นการยากมากที่สุดในการรักษาคนป่วยเหล่านี้ แทบจะเลือนลาง และเสียค่าใช้จ่ายมาก


อาการเส้นเลือดตีบ เป็นอย่างไร ?

  1. อาการมึนหัว

  2. อาการบ้านหมุน

  3. อาจมีอาการอาเจียนร่วม

  4. อาการร่วมอ่อนแรงที่แขน

  5. อาการร่วมอ่อนแรงที่ขา

  6. มีกลุ่มก้อนแข็งอุดตาม คอ บ่า ไหล่ อาจส่งสัญญาณปวด

ภาวะเส้นเลือดตีบในสมอง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากพฤติกรรม

  1. พักผ่อนน้อย

  2. ดื่มน้ำน้อย

  3. นอนดึก

  4. ดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ

  5. ชอบทานอาหารมันๆ

  6. ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่

  7. ขาดการออกกำลังกาย

  8. ไม่เคยปรับสมดุล ดูแลระบบหลอดเลือด และการไหลเวียนให้สมดุล

  9. นั่งนาน

  10. ยืนนาน

  11. ทำงานหนัก

  12. ชอบดื่มน้ำอัดลม เป็นต้น


พฤติกรรมดังกล่าวที่สะสมยาวนาน ไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี การอุดตันในเส้นเลือดถึงจะเกิดขึ้นได้ การรักษาฟื้นฟู สามารถทำได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลานาน ไม่ต่ำกว่า 5 ปี


คนที่เป็นมีอาการก่อนเส้นเลือดจะตีบตัน สามารถรักษาได้ ใช้ระยะเวลา ไม่เกิด 3-6 เดือน อาการเส้นเลือดตีบในสมองถึงจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ายังกลับไปทำพฤติกรรมเดิม ๆ ก็อาจกลับมาได้อีก เพราะเส้นเลือดตีบในสมอง เกิดจากพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค นั่นเอง

สมองกับสังคมออนไลน์

สังคมออนไลน์ ส่งผลต่อสมอง ทำให้เรากลายเป็นคนสมาธิสั้น เนื่องจากสมองไม่ได้ถูกฝึกให้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับอะไรได้นาน แต่จะถูกทำให้เลิกจดจ่อหรือเสียสมาธิได้ (distract) เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือน ตึ่ง ตึ๊งง ของเฟซบุ๊กหรือไลน์

ผลการวิจัยรายงานว่า สมองของเราเหมือนเครื่องยนต์ที่กำลังทำงาน ถ้ามีการเบรก หรือถูกขัดจังหวะเมื่อไหร่ ต้องใช้เวลาสักพักในการเร่งเครื่องให้มีความเร็วเท่าเดิม ซึ่งสมองของเราจะใช้เวลาถึง 22 นาที ในการกลับมามีสมาธิทำงาน อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ตามเดิมได้ เราเป็นคนหนึ่งที่ช่วงหลังรู้สึกว่าอ่านหนังสือนานๆ ไม่ได้ ต้องหันไปทำโน่นนี่ หยิบมือถือขึ้นมาดูบ่อยๆ ซึ่งการอ่านหนังสือมีความจำเป็นต่อการเรียนของเรามาก

วิธีการสร้างความสุขให้กับกิจกรรมเหล่านี้ อาจเริ่มจากการ "ตั้งเป้าหมาย" เช่น คิดว่าจะอ่านหนังสือจบ ทำวิทยานิพนธ์สำเร็จ จบการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นไป เราและพ่อแม่ ครอบครัวจะภูมิใจเพียงใด จะช่วยทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้อย่างไร จดไว้เป็นข้อๆ แปะที่หน้ากระจก หน้าคอมพิวเตอร์ก็ได้

วิธีการแก้ไข 2 ข้อ

  1. ปิดเสียงโทรศัพท์ หรือเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดขณะทำงาน ตั้งเป้าหมายการทำงานว่า ต้องทำให้สำเร็จถึงแค่ไหน จึงจะใช้เครื่องมือสื่อสารเหล่านี้ หรือ เข้าสังคมออนไลน์ได้

  2. ฝึกการทำสมาธิช่วงเช้า และ ก่อนนอน วันละ 5 นาที รายละเอียดตามโพสต์ต่อไปนี้ https://www.facebook.com/KhunkhaoWriter/photos/a.535194856545007.1073741829.244109082320254/846217098776113/?type=1

ขอบคุณมูลไส้เดือนฟาร์มดีhttp://www.unigang.com/Article/16737

โรคฮิตใหม่

ศีรษะคนเราหนักประมาณ 5 กก. ถ้าเราก้มหน้าเพียงเล็กน้อย กล้ามเนื้อคอต้องออกแรงแบกน้ำหนักศีรษะเพิ่มเป็น 12 กก. หากก้มหน้าดูมือถือ กล้ามเนื้อคอ ต้องรับน้ำหนักถึง 22 กก. การดูมือถือครั้งละเป็นชั่วโมง ทำให้ เกิดอาการกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ เกร็ง กระดูกคอเสื่อม หมอนรองกระดูกเสื่อม แขนขาชาอ่อนแรง จนอาจถึงต้องผ่าตัด

การปวดศีรษะ

โรคปวดศีรษะ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ปวดศีรษะแบบที่หาสาเหตุไม่เจอ และปวดศีรษะแบบมีสาเหตุ

ปวดศีรษะกลุ่มที่หาสาเหตุไม่เจอ แยกย่อยไปได้เป็น 3 ชนิด คือ

1.ปวดหัวแบบกล้ามเนื้อตึง

มักปวดระดับน้อยถึงปานกลาง ไม่มีคลื่นไส้อาเจียน ไม่มีอาการของระบบประสาท ไม่เกี่ยวกับการออกแรงหรือเคลื่อนไหว มักสัมพันธ์กับความเครียด อดนอน หิว ใช้ตามาก หรือเมื่อตำแหน่งศีรษะอยู่ผิดที่

การรักษา

นอนให้พอ ลดการใช้สายตาลง ออกกำลังกายให้หายเครียด ถ้าปวดเมื่อยแถวคอหรือหลังหูก็บีบๆ นวดๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาก็ใช้แค่พาราเซตามอลครั้งละ 500-1,000 ม.ก. หรือแอสไพรินครั้งละ 300-600 ม.ก. ในกรณีที่ปวดศีรษะแบบเรื้อรัง การใช้ยาต้านภาวะซึมเศร้าอาจป้องกันการกลับเป็นถี่ๆ

2.ปวดหัวแบบไมเกรน

ปวดแบบตึ๊บๆ ครั้งหนึ่งกินเวลา 4-72 ช.ม. ถ้ามีอาการนำที่เกิดจากการเสียการทำงานของระบบประสาทเป็นการชั่วคราว เช่น เห็นแสงสีวูบวาบ เรียกว่า คลาสสิคไมเกรน ถ้าไม่มีอาการนำ เรียกว่า คอมมอน ไมเกรน มักคลื่นไส้อาเจียน เป็นข้างเดียว มีอาการแพ้แสง นอนไม่หลับและซึมเศร้า

การรักษา

การจัดการความเครียด เช่น คลายกล้ามเนื้อ โยคะ มวยจีน และการฝังเข็ม อาจช่วยบรรเทาอาการได้

3.ปวดหัวแบบคลัสเตอร์

ปวดรุนแรงเฉพาะบริเวณที่เลี้ยงโดยประสาทสมองคู่ที่ห้า มักเป็นที่หลังลูกตาหรือที่เบ้าตา ร่วมกับมีอาการน้ำมูกน้ำตาไหล เหงื่อหน้าออก ตาแดง หนังตาบวมหรือหนังตาตก โดยที่เป็นอยู่ซีกเดียว เป็นมากจนลุกลี้ลุกลน อยู่ไม่สุข

การรักษาอาการปวดศีรษะกลุ่มที่มีสาเหตุ

แยกย่อยเป็น 2 พวกคือ

พวกที่ 1 เกิดจากสาเหตุนอกสมอง ได้แก่

  1. โรคต้อหิน เป็นโรคที่มีการเสื่อมสภาพในส่วนของลำของประสาทตา ทำให้เกิดการเสื่อมของการมองเห็น อาจมีการเพิ่มความดันในลูกตา เป็นมากก็ตาบอดได้

  2. สายตาผิดปกติ ตาเอียง ตาสั้น ตายาว

  3. โพรงไซนัสอักเสบ

  4. หูชั้นกลางอักเสบ

  5. โรคภูมิคุ้มกันทำลายหลอดเลือดตนเอง มีอาการปวดหัว ปวดคอร่วมกับอาการอักเสบมีไข้ บางครั้งปวดรอบวงไหล่และวงตะโพก

  6. กลุ่มอาการปวดข้อกราม เป็นการปวดหัวจากความผิดปกติของการทำงานของข้อกรามที่หน้าหู ซึ่งอาจเกิดจากการกัดฟันขณะนอนหลับหรือเหตุอื่นๆ

  7. กระดูกสันหลังระดับคอเสื่อมหรืออักเสบ

  8. ความดันเลือดสูง

  9. โรคไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไป

  10. โรคติดเชื้ออักเสบเป็นไข้ ไม่ว่าจะเป็นที่อวัยวะไหน ก็ปวดหัวได้ทั้งนั้น

  11. ปวดจากยาที่กิน เพราะยาใดๆ ที่หมอให้รับประทานล้วนมีฤทธิ์ข้างเคียง และ

  12. พวกติดกาแฟ ก็ปวดหัวได้ง่ายๆ เวลาอยากดื่มกาเฟอีนแต่ไม่ได้ดื่ม

พวกที่ 2 เกิดจากสาเหตุซึ่งอยู่ในสมอง ได้แก่

  1. หลอดเลือดในสมองโป่งพองหรือผิดปกติ บางครั้งส่วนที่โป่งพองขยายตัวออก (ใกล้จะแตก) จะทำให้มีอาการปวดศีรษะมาก และถ้าทิ้งไว้ก็จะแตกจริงๆ ซึ่งจะทำให้กลายเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้

  2. อัมพาต

  3. ลิ่มเลือดก่อตัวในหลอดเลือดดำของสมอง

  4. เนื้องอกสมอง

  5. ติดเชื้อในสมอง

  6. ภาวะความดันน้ำไขสันหลังต่ำ มักเกิดจากน้ำไขสันหลังรั่วออกไปทางใดทางหนึ่ง เช่น หลังอุบัติเหตุ หรือผ่าตัด หรือเจาะหลัง ทำให้มีอาการปวดหัวเมื่อเปลี่ยนท่า

แพทย์ใช้ข้อมูลต่อไปนี้เป็นธงแดง หรือสัญญาณอันตราย บอกว่าอาการปวดศีรษะอาจมาจากสาเหตุที่รุนแรง คือ

  • ปวดแบบสายฟ้าฟาด เร็ว แรง ทันที ถึงขีดสุดในเวลาไม่เกิน 5 นาที หรือปวดจนปลุกผู้ป่วยให้ตื่นขึ้น หรือปวดแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

  • ปวดศีรษะครั้งแรกในคนไข้อายุมากเกิน 50 ปี หรือคนไข้เอดส์ หรือคนไข้มะเร็ง

  • ลักษณะการปวดปลี่ยนไป รวมถึงความถี่และอาการร่วม

  • มีอาการและอาการแสดงของระบบประสาทร่วม รวมถึงการมองเห็นผิดปกติ หรือคอแข็ง หรืออาการไม่เฉพาะที่ เช่น เสียความจำ หรือจอตาบวม

  • มีข้อมูลส่อว่าเป็นโรคระดับทั่วร่างกาย เช่น เป็นไข้ ความดันเลือดสูง น้ำหนักลด

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด / ข่าวสดออนไลน์

สมองหญิง-ชาย ทำงานต่างกัน

ผลวิจัยด้านสมอง ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐฯ ผลวิจัยเผยว่า กระแสไฟฟ้าในสมองของผู้ชายและผู้หญิงทำงานต่างกัน จึงทำให้มีความถนัดที่ต่างกัน

หลังจากสแกนสมองของผู้เข้าร่วมวิจัยกว่า 1,000 คน นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปผลว่า กระแสไฟฟ้าในสมองของผู้ชายและผู้หญิงมีรูปแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สมองของผู้หญิงโดยทั่วไปมีการทำงานร่วมกันของสมองซีกซ้ายและขวาอย่างเห็นได้ชัด

ในทางกลับกัน สมองผู้ชายปกติจะทำงานเป็นซีกๆ ไป และเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างสมองส่วนหน้าและส่วนหลังมากกว่า มีเพียงส่วนเดียวที่สมองของผู้ชายเชื่อมโยงกันระหว่างซีกซ้ายและขวาคือ ส่วน "เซเรเบลลัม" ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย

จากผลการศึกษาแผนภาพกระแสไฟฟ้าในสมองของผู้หญิงและผู้ชาย (ดังภาพ) สรุปได้ว่า สมองของผู้หญิงเหมาะกับทักษะทางสังคม และการจำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าผู้ชาย ในขณะที่สมองผู้ชายช่วยให้ประสาทการรับรู้ด้านต่างๆ และความสัมพันธ์ในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ได้ดีกว่าผู้หญิง

ราจินี เวอร์มา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย อธิบายว่า ตามหลักแล้ว สมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่เกี่ยวกับตรรกะ การใช้เหตุผล ส่วนสมองซีกขวาจะเกี่ยวกับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ดังนั้น ถ้างานใดต้องใช้ทักษะทั้งสองด้าน ผู้หญิงจะทำได้ดีกว่า และผู้หญิงมีความคิดริเริ่มและการจดจำที่ดีกว่า เนื่องจากสมองทั้งสองซีกของผู้หญิงทำงานเชื่อมโยงกันมากกว่า นั่นเอง ขณะที่เชฟและช่างทำผมที่ดี ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย เนื่องจาก ผู้ชายมีประสาทการรับรู้ที่ดีกว่า และผู้ชายมักเล่นกีฬาเก่งกว่า เพราะควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ดีกว่า

นอกจากนี้ ผลการศึกษาพบว่า การทำงานของสมองของผู้หญิงและผู้ชาย จะมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย ในวัยเด็กจนถึงอายุประมาณ 13 ปี และจะเริ่มทำงานแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้นในช่วงอายุ 14-17 ปี

จากการศึกษาเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าในสมองของหญิงชายที่มีสุขภาพจิตดี นักวิทยาศาสตร์ได้เห็น และเข้าใจการทำงานที่ปกติของสมองทั้งสองเพศในช่วงวัยต่างๆ มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงหวังว่า อีกไม่นาน จะสามารถหาคำตอบได้ว่า การทำงานที่ผิดปกติของกระไฟฟ้าในสมอง จะทำให้เกิดความผิดปกติทางสมอง อย่างโรคจิตเภท หรือโรคซึมเศร้าหรือไม่

ขอบคุณมูลไส้เดือนฟาร์มดีhttp://www.unigang.com/Article/16737

สมองต้องการรัก

วิธีรักสมองให้มาก

1. จิบน้ำบ่อยๆ

สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง เมื่อไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การ ส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี

คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที

หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็น ภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรัก และหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน

ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. จดบันทึก ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ

ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ

สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอด ขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

ขอบคุณมูลไส้เดือนฟาร์มดีhttp://www.unigang.com/Article/16737

สมองมนุษย์ ก็มีเกียร์สูง-เกียร์ต่ำ

เมื่อเราทำอะไรซ้ำๆ มันจะค่อยกลายสภาพไปเป็นนิสัย นิสัยที่ทำบ่อยๆ จะค่อยกลายสภาพไปเป็นอุปนิสัย

แต่ก่อนความเร็วอินเตอร์เน็ตแค่56K เวลาจะดาวน์โหลดสักไฟล์อาจต้องคอย 20 นาที เราก็รอคอยได้โดยไม่เร่าร้อน แต่เดี๋ยวนี้เราคุ้นชินกับ WiFi ความเร็วสูง พอเน็ตช้าลง ต้องรอสัก10-15 วินาที บางคนถึงกับมีอาการลงแดง

แต่ก่อนเราเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ไม่ค่อยหงุดหงิด เราแอบชื่นชมธรรมชาติข้างทาง แต่พอเดี๋ยวนี้เราคุ้นชินกับความเร็ว 120-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรากลับเป็นคนหงุดหงิดง่าย เพียงแค่คนขับแซง ปาดหน้าก็ด่าไปได้ตลอดทาง

เพราะความเร็วทำให้เราขาดความลุ่มลึก หยาบ แต่ความช้าทำให้เราละเอียด ลุ่มลึก ลึกซึ้ง

สมองของมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้วมันกระโดดโลดเต้นจากความคิดหนึ่งไปสู่อีกความคิดหนึ่ง เหมือนผึ้งในแปลงดอกไม้

จิตใจที่ไม่หยุดนิ่งนั้นเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าหมดเปลืองไปอย่างไร้คุณภาพ จริงอยู่ สมองสามารถทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ใน “เกียร์สูง” แต่มันจะทำงานได้ดีกว่านั้นอีกหากปล่อยให้ช้าบ้างเป็นครั้งคราว เปลี่ยนจิตใจลงสู่ “ เกียร์ต่ำ” บ้าง เพื่อคุณภาพที่ดีขึ้น และสุขภาพที่ดีขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า สมองมีวิธีคิดอยู่สองแบบ คือ การคิดเร็ว และ การคิดช้า

การคิดเร็วเป็นการคิดในเชิงเหตุผล ตรรก วิเคราะห์ เป็นเส้นตรง เป็นการคิดแบบคอมพิวเตอร์ เป็นการคิดแบบคนทำงานสมัยใหม่ ที่ต้องการคำตอบต่อปัญหาที่ชัดเจน แม่นยำ

แต่การคิดช้าเป็นการคิดแบบหยั่งรู้ คลุมเครือ สร้างสรรค์ เป็นการคิดที่อยู่บนเงื่อนไขที่ไร้ความกดดัน เป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน และ แม่นยำกว่า

จากการใช้เครื่องมือแสกนสมองพบว่า การคิดทั้งสองแบบนี้ ให้คลื่นสมองที่ต่างกัน การคิดช้า ทำให้สมองมีคลื่นอัลฟา และ เทต้า ส่วนการคิดเร็วทำให้สมองมีคลื่นแบบเบต้า

ข้อเท็จจริงบอกกับพวกเราว่า ถ้าเราเป็นคนทำงานในสำนักงาน เป็นคนที่มีชีวิตส่วนใหญ่บนในเส้นตายตลอดเวลา (ต้องทำงานให้ทันเวลา งานต้องเสร็จ นายจะเอา ต้องมีคำตอบในที่ประชุม ฯลฯ)

มันจำเป็นขนาดไหนที่เราต้องมีเวลา ช้าลงบ้าง เช่น เวลากินข้าว เวลาขับรถ หรือ ตามลมหายใจก่อนนอน

อย่าลืมว่ารถไม่สามารถวิ่งในเกียร์สูงได้ตลอดเวลา ต้องมีเวลาพักเครื่อง เติมน้ำมัน ต้องรู้จักผ่อนลงมาเกียร์ต่ำเพื่อจอดพักบ้าง เครื่องยนต์จะได้ทนนาน

ขอบคุณมูลไส้เดือนฟาร์มดีhttp://www.unigang.com/Article/16737

คลิปวิดีโอ การฟื้นฟู และออกกำลังกายผู้ป่วยทางสมอง

ขอขอบคุณผู้สร้างสรรค์คลิปวิดีโอเหล่านี้ จากสังคมออนไลน์