การพัฒนาเด็กประถมวัย
โครงการพัฒนาเด็กปฐมวัยในชนบท
ด้วยการเล่านิทาน อ่านหนังสือให้เด็กฟัง
ด้วยการเล่านิทาน อ่านหนังสือให้เด็กฟัง
ณ โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย
ผมขอเรียนให้ทุกท่านทราบสัก 2-3 ประเด็น โดยจะใช้เวลาในวันนี้เพียง 1 ชั่วโมง เมื่อผมฟังอาจารย์ธีรวงศ์ ธนิษฐ์เวธน์ (ผู้อำนวยการสมาคมไทสร้างสรรค์) เล่าถึงกิจกรรมที่สมาคมฯ ได้ดำเนินการ ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า การทำงานลักษณะนี้เราไม่ได้สังกัดราชการ หรือธุรกิจเอกชน แต่เราสังกัดภาคส่วนที่ 3 ซึ่งเรียกว่า "ภาคส่วนประชาชน"
ภาคส่วนที่ 1 คือ ภาคส่วนของรัฐ มีหน้าที่เฉพาะในการพัฒนาประเทศ
ภาคส่วนที่ 2 คือ ภาคส่วนเอกชน มีหน้าที่ดำเนินงานในเชิงธุรกิจ
ภาคส่วนที่ 3 คือ ภาคส่วนประชาชน มีหน้าที่มากมาย ยกตัวอย่าง ลักษณะของภาคส่วนของประชาชน ดังนี้
กลุ่มเพื่อสังคม
เป็นกลุ่มที่สนใจประเด็นของสังคม จะเป็นประเด็นอะไรก็ได้ เช่น ทางสมาคมฯ ก็สนใจพัฒนาการของเด็กปฐมวัย บางกลุ่มก็สนใจด้านต่อต้านการบริโภคบุหรี่ การต่อต้านด้านของการใช้ความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น ซึ่งมีกลุ่มทำงานด้านนี้เยอะมาก
กลุ่มเพื่อสังคม จะสนใจประเด็นของสังคม ซึ่งเป็นประเด็นของประชาชน และก็อยากที่จะทำงานเพื่อประชาชน เราไม่ได้ทำเพื่อรัฐหรือเอกชนโดยตรง แต่ก็เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ที่จริงแล้วทั้ง 3 ภาคส่วนมีความเชื่อมโยงกัน งบประมาณที่ได้ก็มาจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของภาครัฐ นอกจากนั้นก็ยังได้จากธุรกิจภาคเอกชน ซึ่งจะเอากำไรส่วนหนึ่งคืนให้กับประชาชน ตรงกับความรู้สึกว่าใครจะทำงานภาครัฐก็ดี หรือในส่วนภาคธุรกิจเอกชนก็ดีควรจะแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาสู่ภาคประชาชนจะโดยวิธีใดก็ตาม องค์กรจะลงมือทำเองก็ได้
ธุรกิจบางแห่ง ตั้งมูลนิธิขึ้นเอง เพื่อทำงานด้านสังคม เช่น ธุรกิจปูนซีเมนต์ ก็มีมูลนิธิซิเมนต์ไทย จากนั้นก็เข้ามาสนับสนุนงานในประเด็นสังคม ซึ่งทำโดยกลุ่มเพื่อสังคม โดยตัวเขาไม่ได้ทำเอง แต่มีความเชื่อและอุดมการณ์ร่วมกับกลุ่มเพื่อสังคม
ส่วนของข้าราชการ ก็เหมือนกัน ในใจเขาเป็นคนไทย เขามีหน้าที่รับผิดชอบในงานราชการ แต่ในขณะเดียวกันทรัพยากรที่มีในหน่วยงานราชการ ซึ่งเขาดูแลอยู่ ก็สามารถที่จะนำมาแบ่งปันให้ส่วนภาคประชาชนได้เช่นกัน เช่น องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ฉะนั้นอยากจะทำความเข้าใจในตรงนี้ว่าอยากให้เปิดใจให้กว้าง ยื่นมือไปเกี่ยวด้วยกันทั้ง 3 ภาคส่วน
กลุ่มเพื่อสังคม อาจตั้งชื่อเป็นชมรม สมาคม หรืออะไรก็ได้ ตามสถานภาพ สถานการณ์จริงๆ ในประเทศที่ผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตยมานาน เขาจะพยายามลดบทบาทของภาครัฐลงให้เหลือน้อยที่สุด พยายามให้ภาคธุรกิจเอกชน กับภาคประชาชนรับผิดชอบให้มากที่สุด ถ้าเป็นรัฐเผด็จการ ภาครัฐจะควบคุมมากที่สุด ขึ้นอยู่กับวิวัฒนาการของแต่ละรัฐ ซึ่งอยู่ในช่วงที่ต่างกันไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ในตรงนี้มีหลักความคิดในประเทศเราช่วงหลังๆ 10-30 ปีให้หลัง ภาคของประชาชนมีพลังมากขึ้น สนใจประเด็นของสังคมมากขึ้น ทั้งในแง่ของการสร้างความรู้และปัญญา เพื่อที่จะนำไปแก้ไขในประเด็นของสังคม สนใจในแง่ที่จะลงมือทำเอง หรือร่วมมือกับฝ่ายอื่นที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก
ผมคิดว่า มีลักษณะเฉพาะของกลุ่มเพื่อสังคม อันได้แก่ กลุ่มของสมาคม ชมรม มูลนิธิ เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมาย มีอุดมการณ์โดยเฉพาะ กล่าวคือจะทำอะไร จัดตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร ต้องตอบคำถามในวัตถุประสงค์ให้ได้ ไม่เช่นนั้นการทำงานจับทิศทางหรือลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติงาน จับต้นชนปลายไม่ถูก ฉะนั้นจึงต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนซึ่งจะเป็นบ่อเกิดแห่งพลัง ยกตัวอย่างเช่น ทางสมาคมฯ กำหนดเป้าหมายได้ดี การพัฒนาเด็กปฐมวัย เป็นต้น แต่ในส่วนของอุดมการณ์ เป็นลักษณะเฉพาะ คือ ทำอะไร เพื่ออะไร แล้วเมื่อกำหนดเป็นภาพกว้างได้แล้วจึงมากำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในกิจกรรมที่จะทำในแต่ละช่วงเวลา เช่น 3 ปีแรกจะทำอะไร 3 ปีหลังจะทำอะไร 5 ปีหลังจะทำอะไร ในตรงนี้จะต้องมีการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อจะให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และพันธมิตรรู้ว่าจะไปทางไหน และเมื่อทำไปแล้วก็จะได้ประเมินตัวเองเพื่อที่จะประเมินได้ถูกทาง ถ้าไม่กำหนดเป้าหมายจะประเมินไม่ถูก
ผมคิดว่า เมื่อเริ่มเข้ามาสู่ระบบของกลุ่มเพื่อสังคม เราจะต้องทำให้เป็นระบบ เมื่อท่านทำให้เป็นระบบได้ มีผลงานที่วัดได้นั้นจะเป็นส่วนที่สร้างศรัทธาให้กับภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชนโดยทั่วไป แต่ถ้าไม่สามารถมีผลงานที่วัดได้ ตอบคำถามก็ไม่ได้ ศรัทธาจะเกิดได้ยาก เพราะการทำงานในภาคของสังคมหลักใหญ่คือการสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นมาให้ได้ ไม่ใช่สิ้นศรัทธา เสียศรัทธาแบบนี้จะอยู่ไม่ได้หรืออยู่ได้ไม่นาน ฉะนั้นต้องกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เมื่อมีการกำหนดอุดมการณ์เฉพาะ กำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ก็ต้องมีการกำหนดกลไกและพันธมิตรเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น
เมื่อหันมาดูเรื่องเด็กปฐมวัย ก็อดไม่ได้ที่จะกราบเรียนว่า แม้เราจะจับเอาเฉพาะช่วงนี้ แต่ช่วงนี้เปรียบเสมือนข้อต่อของโซ่ทองทั้งเส้น กล่าวคือ เปรียบประดุจดั่งดอกไม้ดอกเดียวของพวงมาลัยทั้งพวง เราไม่สามารถที่จะแยกดอกไม้ออกมาทีละดอก แล้วโยนให้ภาคส่วนต่างๆ ได้ มันเป็นชีวิตหนึ่งในชีวิตหนึ่งก็มีมาตั้งแต่กำเนิด จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้วในความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ดี ความรู้ทางด้านจิตวิทยาก็ดี ความรู้ด้านการเรียนรู้สติในระยะหลังๆ มองเห็นและวิจัยในเรื่องของการเรียนรู้เป็นระยะยาว ซึ่งสามารถที่จะนำผลการวิจัยมาใช้ประโยชน์ได้ในส่วนหนึ่ง ซึ่งนำมาเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์ เช่น ในระยะที่หนึ่งซึ่งเป็นทารกในครรภ์ตำราแพทย์ไทยสมัยสุโขทัยพูดถึงรก ซึ่งเป็นอวัยวะเชื่อมต่อระหว่างแม่กับลูกเขาบอกว่าเหมือนดังก้านบัวที่นำอาหารจากแม่ไปสู่ลูก ในส่วนของวิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบันมีการยืนยันชัดเจนกับพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะด้านสมองจะขึ้นอยู่กับภาวะโภชนาการของแม่เพราะได้รับอาหารจากแม่โดยตรง ชุมชนใดครอบครัวใด ประเทศใดก็ตาม มีคาดหวังจะสร้างพลเมืองของตนที่มีปัญญาดีมีความรู้ต้องให้ความสนใจตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์
ในขณะตั้งครรภ์ หากเรากำลังใช้ฟังก์ชั่นโนเอ็มอาร์ไอซ์ เข้าไปศึกษาส่วนทำงานต่างๆ ของสมองในเด็กที่อยู่ในครรภ์ของแม่ ก็จะสามารถบอกได้เลยว่า ส่วนไหนเจริญช่วงไหนแล้วก็ถ้าขาดอาหารอะไรส่งผลทำให้ส่วนไหนไม่เจริญ ฉะนั้นจึงอยากชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในจุดนี้ ส่วนใหญ่เรายังให้ความสำคัญในส่วนของเด็กเข้าโรงเรียน ซึ่งตามความเป็นจริงเราต้องให้ความสำคัญกับเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เรายังขาดการทำงานของกลุ่มคนในกลุ่มนี้อยู่ในสมองมนุษย์มีเซลล์ประสาทหนึ่งแสนล้านเซลล์ แต่ละเซลล์เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงสุด คอมพิวเตอร์เหล่านี้ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย
ในทางพระจึงบอกว่าวิธีการทำให้เกิดปัญญามี 3 วิธี
วิธีที่ 1 สุตมยปัญญา คือการรับฟัง และจดจำเพื่อก่อให้เกิดความรู้ แต่ในสมัยปัจจุบันรวมเอาทุกอย่าง เช่น การฟังวิดีทัศน์ ทีวี อ่านหนังสือ ฯลฯ รวมเรียกว่า สุตตะ คือ สิ่งที่เข้าไปสัมผัสในสมองของเด็ก
วิธีที่ 2 จินตมยปัญญา คือ ความคิดเมื่อได้ข้อมูลจากสัมผัสทั้ง 5 ก็นำมาคิด
วิธีที่ 3 ภาวนามยปัญญา ในส่วนนี้อาจสูงเกินไปสำหรับเด็กในความรู้วิทยาการสมัยใหม่มันไปเกี่ยวพันกับคำสอนในพระไตรปิฏกเหมือนกัน ซึ่งว่าด้วยการทำให้เกิดปัญญา
ในเรื่องของโรงเรียนอนุบาล ที่แจกใบปริญญาบัตรให้เด็ก และการสอบเข้าประถมปีที่1 เด็กต้องสอบข้อเขียน ในส่วนนี้เป็นการปลูกฝังและกระทำที่ผิด พอสร้างตรงนั้นทำให้โรงเรียนอนุบาลกลายเป็นโรงเรียนกวดวิชาเข้า ป.1 ในส่วนนี้อยากให้พูดกันเยอะๆ เด็กควรจะมีโอกาสพัฒนาด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญา อายุระหว่าง 2-3 ปี ในอนุบาลน่าจะเป็นช่วงที่เด็กมีความสุขมากที่สุด
สมการมนุษย์
คุณภาพชีวิต = สุขภาพ + การศึกษา
ในส่วนของสุขภาพ จะรวมถึงศีลธรรมจรรยา สุขภาพมี 4 มิติ คือ สุขภาพกาย สุขภาพสังคม สุขภาพจิต สุขภาพศีลธรรม
ในส่วนของโรคก็มี 4 มิติ คือโรคทางกาย โรคทางจิต โรคทางสังคม และโรคทางด้านศีลธรรม
การส่งเสริมสุขภาพ ต้องส่งเสริมทั้ง 4 มิติ เช่น พ่ออ่านหนังสือให้ลูกฟังนั้น ได้ทั้ง 4 มิติ นำไปสู่ข้อมูลอ้างอิงของโครงการได้เลยว่าเป็นโครงการส่งเสริมสุขภาพได้ด้วย
มาดูเรื่องปัจจัยสมองของเด็กไทย อยากให้มีศูนย์ศึกษาวิจัยสมองเด็กไทย ตอนนี้ผมก็ไปพูดสนับสนุนให้คณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหิดลตั้งศูนย์วิจัยสมอง โดยใช้ชื่อของ อาจารย์ประสบ รัตนากร เพราะท่านมีประสบการณ์ด้านนี้ผมอยากให้มีความสนในทางด้านนี้เพิ่มมากขึ้น
การเลี้ยงดูเป็นแก่นของพัฒนาการในเด็ก
น่าเสียดายเราไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในด้านนี้ ภาคประชาชนลงมาทำในตรงนี้มาก เพราะใน 6 ปีแรกของเด็ก จะมีการพัฒนาการด้านสมองเร็วมาก ในระดับประถม ถึงมัธยม จะทำน้ำดื่มไอโอดีนดื่มเอง เพราะสำคัญมากจำเป็นสำหรับการทำงานของสมอง เรื่องของโครงการอาหารกลางวัน น้ำหนักและส่วนสูงก็มีความสำคัญเช่นกัน ในการที่ส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์นั้นแสดงว่าเป็นการทุพโภชนาการเรื้อรัง ในส่วนของน้ำหนักถ้าต่ำกว่าเกณฑ์มักหมายถึงทุพโภชนาการหรืออาหารไม่พอ น้ำหนักมักเปลี่ยนได้ง่ายกว่าส่วนสูงในส่วนการศึกษาวิจัยสมัยก่อนบอกว่า สมองจะหยุดโตเมื่ออายุประมาณ 14 - 15 ปี แต่ปัจจุบันมีการศึกษาค้นคว้าใหม่ขยายไปถึง 18 ปี ยังไม่หยุดโต
เรื่องการเรียนรู้นอกระบบการศึกษาและในระบบการศึกษา ผมใช้คำนี้ด้วยความตั้งใจ เพื่อแยกให้เห็นว่าการเรียนรู้จากในระบบ ก็เป็นการเรียนรู้ที่ออกแบบโดยรัฐ มีหลักสูตรช่วงชั้นชัดเจน ส่วนนอกระบบ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนกระทั่งตาย การเรียนรู้นอกระบบกว้างมหาศาลมาก เด็กเรียนรู้ก่อนพูดได้ ผมพยายามที่จะชี้แจงให้เห็นว่าเรื่องของสมองเป็นส่วนสำคัญมาก มันโยงถึงเรื่องวิทยาศาสตร์การแพทย์ในส่วนของสุขภาพ เด็กเรียนรู้ตั้งแต่อยู่ในท้องของแม่เป็นส่วนของการเรียนรู้ สิ่งที่เรากำลังทำคือ อยากให้เข้ามาทำในส่วนของการเรียนรู้นอกระบบ จากสิ่งแวดล้อมรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิต