
ประโยชน์จากมะม่วง
มะม่วง เป็นผลไม้ที่มีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และโซเดียมต่ำ เป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์ วิตามินบี 6 วิตามินเอ และวิตามินซี รวมทั้งโพแทสเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี นอกจากนี้ก็ยังมีเควอซิทิน (Quercetin) เบต้าแคโรทีน (Beta Carotine) กรดโฟลิก และ แอสตรากาลิน (astragalin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีทรงพลัง ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ ริ้วรอยก่อนวัย โรคมะเร็ง หรือภาวะเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ
คุณค่าทางอาหารในมะม่วงดิบ 100 กรัม
น้ำ 83.46 กรัม พลังงาน 60 กิโลแคลอรี โปรตีน 0.82 กรัม ไฟเบอร์ 1.6 กรัม น้ำตาล 13.66 กรัม แคลเซียม 11 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 0.16 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 14 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 168 มิลลิกรัม โซเดียม 1 มิลลิกรัม สังกะสี 0.9 มิลลิกรัม วิตามินซี 36.4 มิลลิกรัม วิตามินบี 6 0.119 มิลลิกรัม วิตามินเอ 1,082 ยูนิต
มะม่วงมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม สารอาหารที่สำคัญต่อระบบการไหลเวียนของเลือด ทำให้ความดันโลหิตถูกควบคุมให้อยู่ในระดับที่ปกติ นอกจากนี้มะม่วงยังมีวิตามินอี ที่ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศด้วย
สารประกอบที่พบในมะม่วง เช่น เควอซิทิน (Quercetin) ไอโซเควอซิทริน (isoquercitrin) แอสตรากาลิน (astragalin) ไฟเซติน (fisetin) เมทิลแกทเลท (methylgallat) มีฤทธิ์ต้านนุมูลอิสระ ที่ทำหน้าที่ในการตอต้านการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ ยังมีเพคติน (pectin) สูง และมีผลการวิจัยพบว่าสารเพคตินนี้ มีผลต่อการป้องกันการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้
มะม่วงมีเอนไซม์ ที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนให้ง่ายต่อการดูดซึมของร่างกาย ขณะที่ไฟเบอร์ในมะม่วงก็สามารถช่วยในการย่อยอาหารได้อีกด้วย
วิตามินเอ และวิตามินอี ในมะม่วง รวมทั้งซีลีเนียม (Selenium) สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ นอกจากนั้น มะม่วงยังมีวิตามินบี 6 ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ด้วยการลดระดับโฮโมซิสเตอีน (Homocysteine) เพราะโฮโมซิสเตอีนนี่เป็นกรดอะมิโนที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับผนังหลอดเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจนั่นเอง
เพคติน และวิตามินซี เป็นสารอาหารหลักในมะม่วง ที่สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีในร่างกายได้ ทั้งนี้ ผู้ที่ป่วยด้วยโรคไขมันในเลือดสูง ก็ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนจะรับประทาน
วิตามินบี 6 ในมะม่วง ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกัน และสร้างเสริมการทำงานของสมอง เพราะวิตามินบี 6 มีส่วนสำคัญในการทำงานของสารสื่อประสาท ที่มีส่วนช่วยในการกำหนดอารมณ์และรูปแบบการนอนหลับ การเติมมะม่วงลงไปในอาหารจะช่วยให้ร่างกายได้รับกลูตาไมน์ (Glutamine) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้สมองสามารถจดจำและมีสมาดีขึ้น และยังทำให้เซลล์สมองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาด้วย
วิธีการดูแลตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวานคือ การไม่รับประทานของหวาน ซึ่งมะม่วงก็เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง แต่ช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ เพียงแค่นำใบมะม่วง 10-15 ใบแช่ลงในน้ำอุ่นและปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ข้ามคืน ตอนเช้านำมาดื่มในขณะท้องว่าง จะสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ วิธีนี้สามารถรับประทานได้ทั้งคนที่เป็นเบาหวานหรือไม่เป็นก็ได้ หากผู้ที่มีสุขภาพปกติดื่มน้ำแช่ใบมะม่วง ก็จะยิ่งช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ดียิ่งขึ้น
วิตามินเอ ที่สูงมากในมะม่วง ช่วยบำรุงสายตาให้ใสปิ๊งอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องการการเสื่อมของจอประสาทตาเมื่ออายุมากขึ้นได้อีกด้วย
วิตามินเอ ในมะม่วงมีคุณประโยชน์เพียบพร้อม แม้เรื่องผิวพรรณ การรับประทานมะม่วง ทำให้ได้รับวิตามินเอ ที่ช่วยกระตุ้นการใหลเวียนของเลือดในเนื้อเยื่อและผิวหนัง ช่วยให้การอุดตันของรูขุมขนลดลง ส่งผลให้ผิวพรรณเรียบเนียนได้
เนื้อมะม่วง สามารถใช้บำรุงผิวพรรณ ลดสิวบนใบหน้าได้ เพียงฝานมะม่วงบางๆ วางบนใบหน้า ทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นล้างออก วิตามินเอในมะม่วงจะช่วยลดการเกิดสิวได้เป็นปลิดทิ้ง
มะม่วงเปรี้ยว ถือเป็นของที่ถูกใจคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะช่วยอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี เพราะมะม่วงก็มีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์ มักเกิดภาวะโลหิตจางได้ง่าย การรับประทานมะม่วง จึงช่วยให้ธาตุเหล็กอันเป็นสาเหตุของโรคโลหิตจางมีระดับสูงขึ้นอยู่ในเกณฑ์ปกติ
มะม่วงมีสารเบต้าแคโรทีน เช่นเดียวกับผักผลไม้มีสีส้มและสีเหลืองทั่วไป เช่น แครอท โดยสารเบต้าแคโรทีนนั้น เป็นสารแคโรทีนอยด์ ที่มีคุณสมบัติในการสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ดังนั้น หากไม่อยากป่วยง่าย จึงควรจะรับประทานมะม่วงเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับสารพิษและแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น