11 สัญญาณร้ายที่ไม่ควรรอ ประสบการณ์จากหมอมืออาชีพ (น.พ.กฤษดา ศิรามพุช)
ในแต่ละวันที่ตรวจคนไข้ ทำให้ได้รับรู้เรื่องพิเศษหลายเรื่องอยู่เสมอ บางเรื่องเข้าขั้นน่าอัศจรรย์เสียด้วยซ้ำ อาการป่วยแต่ละกรณี ถ้าดูให้ดีจะเห็นความพิเศษ แม้โรค “หวัด” ธรรมดา ถ้าดูให้ดีก็จะเห็นความน่าสนใจ ที่ไม่เหมือนกันก็เพราะผมเห็นของผมเองว่า แต่ละคนมีความพิเศษเพราะเขาได้ดูแลสุขภาพมาในแบบต่างๆ กัน มีการใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเจ็บป่วยแต่ละครั้ง จึงต้องดูแลรายละเอียดเรื่องการกิน-อยู่ที่ผ่านมาของคนคนนั้นด้วย จึงจะช่วยกันได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
เพราะโรคที่ดูเหมือนธรรมดา จะกลับกลายเป็น “โรคร้าย” ได้ถ้าเราประมาท เช่น คัดจมูกบ่อยๆ คิดว่าเป็นแค่หวัด แต่ที่จริงอาจกำลังมีหนองเซาะอยู่ในไซนัสเต็มกะโหลก (Pansinusitis) ปวดหัวประจำ ทำให้คิดว่าเป็นไมเกรน ทั้งที่จริงอาจมีความดันสูงและเส้นเลือดพองใกล้แตกเต็มแก่
จุกแน่นลิ้นปี่ ไปหาหมอทุกทีก็ได้ แต่ยาโรคกระเพาะและกรดไหลย้อน แล้ววันดีคืนดีก็หัวใจวายไป เพราะอาการจุกนั้น คืออาการเตือนของ “หัวใจขาดเลือดรุนแรง (Severe Ischemic Heart Disease)”
นี่เป็นเพียงน้ำจิ้มของโรคธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น ที่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่า มันทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ถ้าแก้ไม่ทัน ยังมีโรคอีกมากที่ชวนให้ตกหลุมพราง มองเป็นโรคที่เคยพบในคนไข้เยอะแยะทั่วไป แต่จริงแล้วไม่ใช่เลย
ดังนั้น การดูคนไข้อย่างละเอียดเป็น “รายคน” จึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้จะต้องอุทิศเวลาในการตรวจคนหนึ่งถึงครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพราะมันจะช่วยคนไข้ได้ถึงขั้น “รอดตาย” และจะยิ่งดีถึงที่สุด ถ้าเราทุกคนเองรู้ทัน “ได้ก่อนใคร” ไม่จำเป็นต้องรอถึงมือหมออย่างเดียว จะช่วยได้ทั้งตัวเรา และคนที่เรารักด้วย โดยเฉพาะกับสัญญาณที่จะช่วยชีวิตได้ดังต่อไปนี้ ที่ทุกเสี้ยววินาทีมีค่าที่สุด
- พูดไม่ชัด อาการพูดอ้อแอ้ราวกับลิ้นคับปาก จู่ๆพูดไม่ชัด บางท่านร่วมกับหน้าเบี้ยวเล็กๆ ให้ระวังผู้ร้ายที่ “สมอง” อาจมีได้ทั้งเส้นเลือดตีบหรือแตกแทรกอยู่ในกะโหลกของท่านโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าทิ้งไว้นานจะถึงกับ “อัมพาต” ได้
- ตาดับ ปุบปับเกิดมองไม่ชัดหรือ “มืดลง” ราวกับปิดม่าน ให้ระวังเรื่องฉุกเฉินของลูกตาครับ ท่านอาจมีเส้นเลือดในตาอุดตันเฉียบพลันทหรือมีจอตาลอกหลุดผลัวะออกมาได้ โดยเฉพาะในผู้มีเบาหวานและความดันสูง ให้รีบไปห้องฉุกเฉินก่อน “โลกมืด” อย่างถาวร
- เจ็บอก เจ็บเล็กน้อยพอแปลบปลาบ เวลาหายใจยังไม่เป็นไร เจ็บที่อันตรายสุดคือเจ็บแบบ “แน่นเหมือนถูกทับ” พบร่วมกับอาการเหนื่อย และทำท่าจะ “วูบ” อย่างนี้มีเสี่ยงหัวใจขาดเลือดจนหยุดเต้นฉับพลัน ที่ต้องระวังอีกอันคือ “จุกลิ้นปี่” คล้ายโรคกระเพาะ ก็มาจากหัวใจได้
- จุกลิ้นปี่ เป็น “จุกมฤตยู” ไปได้ง่ายๆ ถ้ามัวแต่คิดแต่ว่าเป็นโรคกระเพาะ ให้สังเกตว่ากินยากระเพาะเท่าไรก็ไม่หาย แถมยังเป็นบ่อยขึ้นในช่วงหลัง และร่วมกับการออกแรงเหนื่อยด้วย
- ปวดท้องทะลุหลัง อาการปวดแน่นท้องจนร้าวทะลุหลัง เป็นอาการฉุกเฉินของ “ถุงน้ำดี” ที่อาจมีอุดตันหรืออักเสบรุนแรงขึ้นครับ รวมถึง “ตับอ่อนอักเสบ” ที่ทำให้ปวดรุนแรงร้าวรานเช่นนี้ได้ เป็นภาวะที่ต้องรีบรู้ให้ทันก่อน
- ปวดไส้ติ่ง เรื่องนี้ใครก็ทราบว่าฉุกเฉิน แต่ไส้ติ่งอักเสบในหลายคนยังเดินเหินได้ปกติ มีสัญญาณปวดที่ควรระวังคือ ท้องแข็งเกร็ง กดพุงแล้วเจ็บเวลาปล่อยมือ เดินกระเทือนเจ็บรุนแรงจนเดินไม่ไหวและมีไข้ซึมลง พวกนี้คือ “ไส้ติ่งแตก”
- ไม่ถ่าย ไม่ระบาย เรื่องนี้ดูเหมือนง่ายจนไม่เข้าข่ายฉุกเฉิน แต่จริงแล้วทมีข้อให้สังเกต 3 ประการคือ ไม่ถ่าย ไม่ระบายลม และคลื่นไส้อาเจียน ทั้ง 3 อาการ คือภาวะฉุกเฉินของลำไส้อุดตันที่อาจเกิดจาก “มะเร็ง” ก็ได้
- ปวดหัว ตามัว และคลื่นไส้ เป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ใน “กะโหลก” นี่คืออาการของสมองที่มีปัญหาว่ามีความผิดปกติซุกอยู่ภายใน และเป็นชนิดที่ต้อง “รีบแก้” ให้ทันท่วงทีด้วยอย่าง เส้นเลือดสมองตีบ ตกเลือดในสมอง หรือเนื้องอกก้อนโต
- ปวดท้องเหมือนจะเป็นลม ระวังเรื่อง “ตกเลือด” ในช่องท้องให้ดี โดยเฉพาะท่านที่รับประทาน “แอสไพริน” เป็นประจำจะทำให้มีเลือดรั่วอยู่ในท้องได้ทีละน้อยๆ และเมื่อกลายเป็นแผลใหญ่ภายใน ก็จะทำให้ถึงกับหน้าซีดเหงื่อออกและ “ช็อค” ได้
- น้ำหนักลดมากกว่า 2 กิโลต่อเดือน เป็นสัญญาณอันตรายถึงเรื่อง “มะเร็ง” ที่ทำให้น้ำหนักลดได้มาก เป็นเรื่องที่ต้องทราบเร็วอีกเหมือนกัน ส่วนอีกโรคที่เป็นได้คือ “ไทรอยด์เป็นพิษ” ซึ่งมีผลให้น้ำหนักลดมาก ทั้งที่ไม่ได้เบื่ออาหาร
- คิดถึงเรื่องตายบ่อยๆ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินในคนไข้ซึมเศร้า สังเกตว่าคุณหมอมักถามว่าเคยรู้สึกเบื่อโลก หรือคิดถึงเรื่องตายบ่อยเพียงใด นั่นคือคุณหมอท่านจะประเมินว่าเข้าข่าย “ฉุกเฉิน” ต้องแอดมิตเพียงใด
นอกจาก 11 อาการที่ว่านี้ ยังมีสัญญาณฉุกเฉินแบบมโนสาเร่อีกมาก ขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวคนไข้เป็นรายๆ ไป เป็นต้นว่าคนไข้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือรูมาตอยด์ ก็อาจต้องระวังภาวะฉุกเฉินจากติดเชื้อรุนแรง โลหิตเป็นพิษ คนที่ป่วยด้วยโรค “ลดความอ้วน” ก็อาจ “ช็อค” ได้จากการล้วงคออาเจียน จนขาดเกลือแร่แล้วหัวใจหยุดเต้น
สิ่งเหล่านี้ ขึ้นกับเรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียว คือ “การสังเกต” หลายครั้งที่คนไข้สังเกตรู้ได้ไวกว่าคุณหมอเสียอีก เพราะเราอยู่กับตัวเองหรือคนที่เรารักได้ใกล้ชิดกว่า ซึ่งนั่นจะช่วยคุณหมอได้มาก ที่สำคัญคือช่วยชีวิตตัวเองได้อย่างน่าภูมิใจ
- ขอบคุณ พี่รุจีรัตน์ นบก.9 |